
"กะหรี่" มีดีกว่าที่คิด สรรพคุณดั่งทองคำ ปกป้องตับ บำรุงระบบย่อย ลดเสี่ยงมะเร็ง
"กะหรี่" มีดีกว่าที่คิด เครื่องเทศแห่งเอเชีย สรรพคุณดั่งทองคำ บำรุงสมอง ปกป้องตับ ดูแลระบบย่อย ลดเสี่ยงมะเร็ง
ผงกะหรี่ (Curry Powder) คือเครื่องเทศผสมที่ได้รับความนิยมในการปรุงอาหาร โดยเฉพาะอาหารอินเดีย ไทย และญี่ปุ่น มีลักษณะเป็นผงสีเหลืองทอง มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวและรสเผ็ดอ่อน ๆ ผงกะหรี่ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อให้สะดวกต่อการปรุงอาหารโดยรวบรวมเครื่องเทศหลายชนิดเข้าด้วยกันในสัดส่วนที่เหมาะสม โดยหัวใจหลักคือ ขมิ้นชัน (Turmeric) ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ทำให้ผงกะหรี่มีสีเหลือง นิยมใช้ปรุงอาหารประเภทแกงหรือผัด เพื่อเพิ่มความหอมและรสชาติกลมกล่อมให้กับเมนูต่าง ๆ
ขมิ้นชัน (Turmeric) เป็นสมุนไพรที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในอาหารและการแพทย์แผนโบราณ มีสารสำคัญชื่อว่า เคอร์คูมิน (Curcumin) ซึ่งเป็นสารให้สีเหลืองทองและมีฤทธิ์ทางยาเด่นชัด งานวิจัยสมัยใหม่พบว่าขมิ้นชันมีคุณสมบัติช่วยดูแลสุขภาพหลายด้าน ตั้งแต่ระบบทางเดินอาหารไปจนถึงการป้องกันโรคเรื้อรัง
1. ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย
ขมิ้นชันช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำดีจากตับ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น ลดอาการแน่นท้อง จุกเสียด และอาหารไม่ย่อย งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร BMJ Evidence-Based Medicine ระบุว่า ประสิทธิภาพของขมิ้นชันใกล้เคียงกับยาโอเมพราโซลในการบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย
2. ต้านการอักเสบและลดอาการปวด
สารเคอร์คูมินในขมิ้นชันมีฤทธิ์ต้านการอักเสบเทียบเท่ายาต้านการอักเสบบางชนิด (NSAIDs) โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหาร จึงช่วยบรรเทาอาการอักเสบจากโรคข้อเข่าเสื่อมและกล้ามเนื้ออักเสบได้
3. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี
เคอร์คูมินช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ ลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็งบางชนิด
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในเดือนกรกฎาคม 2023 ซึ่งทดลองย่างปีกไก่และพบว่า เมื่อโรยขมิ้นก่อนย่าง จะช่วยลดการเกิดของสารก่อมะเร็งกลุ่ม PAHs หรือ กลุ่มสารเคมีที่เกิดจากการเผาไหม้สารอินทรีย์อย่างไม่สมบูรณ์ ได้มากถึง 70% รวมทั้งลดการเกิด HCAs หรือสารประกอบที่ก่อกลายพันธุ์ ซึ่งเกิดขึ้นจากการปรุงเนื้อสัตว์ที่อุณหภูมิสูง ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของไขมันและการสร้างอนุมูลอิสระ ซึ่งผลลัพธ์จะยิ่งดีขึ้นหากเพิ่มปริมาณขมิ้น
4. ช่วยปกป้องตับและล้างสารพิษ
ขมิ้นชันช่วยเสริมการทำงานของเอนไซม์ในตับและส่งเสริมกระบวนการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์หรือรับประทานยาต่อเนื่อง
5. ส่งเสริมสุขภาพสมอง
มีการศึกษาพบว่าเคอร์คูมินอาจช่วยเพิ่มระดับของสาร BDNF ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเจริญของเซลล์สมอง อาจช่วยชะลอการเสื่อมของสมองและลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์
6. ช่วยบำรุงผิวพรรณ
ขมิ้นชันมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบของผิว จึงนิยมใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเพื่อช่วยลดสิว ผดผื่น และทำให้ผิวดูกระจ่างใส
ข้อควรระวังในการใช้ขมิ้นชัน
แม้ขมิ้นชันจะมีประโยชน์มาก แต่การรับประทานในปริมาณมากหรือเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ ผู้ที่มีปัญหาท่อน้ำดีอุดตัน หรือตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
วิจัยขมิ้นชัน ประโยชน์ในการรักษาอาการอาหารไม่ย่อย
งานวิจัยล่าสุดชี้ว่า ขมิ้นชัน อาจมีประสิทธิภาพในการรักษาอาการอาหารไม่ย่อย (functional dyspepsia) ใกล้เคียงกับยาทั่วไปอย่างโอเมพราโซล ข้อมูลนี้อาจเปิดทางให้พิจารณานำขมิ้นชันมาใช้ในการรักษาทางคลินิกต่อไป
สรุปผลการศึกษาและวิธีการทดลอง
การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน BMJ Evidence-Based Medicine ทดลองในผู้ป่วย 206 คน อายุ 18–70 ปี ที่มีอาการอาหารไม่ย่อยเรื้อรัง โดยสุ่มแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ขมิ้นชัน (เคอร์คูมิน), โอเมพราโซล และทั้งสองร่วมกันเป็นเวลา 28 วัน ผู้วิจัยประเมินผลด้วยแบบสอบถาม SODA (Severity of Dyspepsia Assessment)
รศ.ดร.นพ.กฤษณ์ พงษ์พิรุฬห์ จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “ขมิ้นชันได้มาจากเหง้าของพืช Curcuma longa ซึ่งมีสารออกฤทธิ์ตามธรรมชาติที่ชื่อว่า เคอร์คูมิน (Curcumin) ซึ่งเชื่อว่ามีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านจุลชีพ อีกทั้งถูกใช้เป็นยาพื้นบ้านมาอย่างยาวนานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงการรักษาอาการอาหารไม่ย่อย แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าขมิ้นมีประสิทธิภาพเทียบเท่ายาทั่วไปมากน้อยเพียงใด เพราะยังไม่เคยมีการเปรียบเทียบโดยตรง”
ทีมวิจัยได้สุ่มคัดเลือกผู้ป่วยชาวไทยจำนวน 206 คน อายุระหว่าง 18–70 ปี ที่มีอาการอาหารไม่ย่อยเรื้อรัง (หรือที่เรียกว่า functional dyspepsia) จากโรงพยาบาลหลายแห่งในประเทศไทย แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มการรักษา เป็นระยะเวลา 28 วัน ได้แก่
-
กลุ่มที่ได้รับขมิ้นชัน: แคปซูลเคอร์คูมิน 250 มิลลิกรัม ครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง พร้อมแคปซูลหลอกขนาดเล็ก 1 เม็ด
-
กลุ่มที่ได้รับโอเมพราโซล: แคปซูลโอเมพราโซล 20 มิลลิกรัม วันละ 1 เม็ด พร้อมแคปซูลหลอกขนาดใหญ่ 2 เม็ด วันละ 4 ครั้ง
-
กลุ่มที่ได้รับทั้งขมิ้นชันและโอเมพราโซลร่วมกัน
โอเมพราโซลเป็นยากลุ่ม Proton Pump Inhibitor (PPI) ที่ใช้รักษา functional dyspepsia ซึ่งมีอาการหลัก เช่น แน่นท้องหลังรับประทานอาหาร รู้สึกอิ่มเร็ว และปวดหรือแสบร้อนบริเวณกระเพาะอาหารหรือหลอดอาหาร อย่างไรก็ตาม การใช้ยา PPI ในระยะยาวมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหัก ภาวะขาดสารอาหาร และการติดเชื้อบางชนิด
ผู้ป่วยในทั้งสามกลุ่มมีลักษณะทางคลินิกและคะแนนอาการอาหารไม่ย่อยใกล้เคียงกันเมื่อเริ่มต้น โดยประเมินด้วยแบบสอบถาม SODA (Severity of Dyspepsia Assessment)
หลังจาก 28 วัน และต่อมาในวันที่ 56 ของการทดลอง พบว่าคะแนน SODA ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในด้านความรุนแรงของอาการปวดและอาการอื่น ๆ ทั้งในกลุ่มที่ได้รับขมิ้นชันเพียงอย่างเดียว กลุ่มโอเมพราโซล และกลุ่มที่ได้รับร่วมกัน โดยผลดีเด่นชัดยิ่งขึ้นเมื่อครบ 56 วัน
รศ.ดร.นพ.กฤษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แบบประเมิน SODA ยังรวมถึงคะแนนความพึงพอใจของผู้ใช้ ซึ่งแทบไม่เปลี่ยนแปลงในกลุ่มที่ใช้ขมิ้นชัน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับรสชาติหรือกลิ่นของขมิ้นเอง ทั้งนี้ ไม่พบผลข้างเคียงร้ายแรงจากการใช้ขมิ้นชัน แม้ว่าการตรวจการทำงานของตับจะแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน
แม้งานวิจัยนี้จะมีข้อจำกัดบางประการ เช่น ขนาดกลุ่มตัวอย่างที่เล็ก ระยะเวลาการทดลองสั้น และยังขาดข้อมูลการติดตามระยะยาว แต่ รศ.ดร.นพ.กฤษณ์ ระบุว่า การศึกษานี้ถือเป็นการทดลองแบบสุ่มควบคุมหลายศูนย์ที่ให้หลักฐานที่เชื่อถือได้สูงสำหรับการรักษา functional dyspepsia
ข้อดี-ข้อควรระวังของขมิ้นชันเมื่อเทียบกับยา PPI
ข้อดี คือขมิ้นชันเป็นสารธรรมชาติที่มีสารเคอร์คูมินซึ่งเชื่อว่ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านจุลชีพ ผลการศึกษาเบื้องต้นแสดงประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยใกล้เคียงกับโอเมพราโซล
ข้อควรระวัง การใช้ยา PPI ในระยะยาวมีความเสี่ยงที่พบได้ เช่น กระดูกหัก ภาวะขาดสารอาหาร และความเสี่ยงการติดเชื้อ ขณะที่การใช้ขมิ้นชันในการศึกษานี้ไม่พบผลข้างเคียงร้ายแรง แต่การตรวจการทำงานของตับชี้การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน จึงต้องเฝ้าระวัง
หากสนใจใช้ ขมิ้นชัน เป็นทางเลือก ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้ใช้ยารักษาโรคเรื้อรัง หญิงตั้งครรภ์ หรือต้องการใช้ระยะยาว เพราะยังขาดงานวิจัยขนาดใหญ่และการติดตามผลระยะยาว
นักวิจัยผู้เขียนรายงานว่าจำเป็นต้องมีการศึกษาที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและติดตามผลในระยะยาวเพื่อยืนยันว่าสามารถนำเคอร์คูมินมาใช้ในทางคลินิกได้อย่างปลอดภัยและได้ผล
ใครเหมาะจะพิจารณาใช้ขมิ้นชัน?
ผู้ที่มีอาการอาหารไม่ย่อยเล็กน้อยถึงปานกลางและต้องการทางเลือกจากธรรมชาติอาจพิจารณาขมิ้นชันเป็นหนึ่งในตัวเลือก แต่หากอาการรุนแรงหรือมีสัญญาณเตือน เช่น น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว เลือดออกทางเดินอาหาร หรืออาเจียนมาก ควรพบแพทย์ทันที
สรุปผลการศึกษาชี้ว่า ขมิ้นชัน อาจเป็นตัวเลือกหนึ่งในการรักษาอาการอาหารไม่ย่อย โดยมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับโอเมพราโซลในระยะสั้น อย่างไรก็ดี ยังต้องการการวิจัยเพิ่มเติมก่อนนำมาใช้อย่างแพร่หลายและปลอดภัยในทางคลินิก