เนื้อหาในหมวด ข่าว

ขนลุก! เปิดตำนานลับ \

ขนลุก! เปิดตำนานลับ "งานแต่ง" เบื้องหลังพิธีกรรมโรแมนติก จุดเริ่มต้นคือความเชื่อโบราณ

ความลับ "พิธีแต่งงานตะวันตก" เบื้องหลังความโรแมนติก กับความเชื่อโบราณสุดขนลุก

งานแต่งงานแบบตะวันตกที่เราเห็นกันในวันนี้ดูโรแมนติกและงดงาม แต่เบื้องหลังพิธีกรรมเหล่านั้นกลับซ่อนเรื่องราวโบราณที่เต็มไปด้วยความเชื่อและตำนานลี้ลับ ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน ตั้งแต่การแต่งตัวของเจ้าสาว การสวมแหวน ไปจนถึงประเพณีแปลกๆ อย่างการอุ้มเจ้าสาวข้ามประตู ทุกอย่างล้วนมีความหมายและจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจซ่อนอยู่

หลายพิธีกรรมในงานแต่งงานแบบตะวันตก เช่น การสวมแหวน หรือเจ้าบ่าวอุ้มเจ้าสาวข้ามประตู ดูเหมือนจะโรแมนติก แต่น้อยคนจะรู้ว่าทั้งหมดมีรากเหง้ามาจากเรื่องเล่าโบราณที่เต็มไปด้วยความเชื่อโชคลางและน่าขนลุก งานแต่งงานแบบตะวันตกในปัจจุบันดูโรแมนติกและศักดิ์สิทธิ์ แต่น้อยคนรู้ว่าหลายประเพณีในนั้นมีต้นกำเนิดจากเรื่องราวจิตวิญญาณ ความเชื่อ หรือขนบธรรมเนียมเก่าแก่ที่น่าสนใจมาก

เจ้าสาวและเพื่อนเจ้าสาวแต่งตัวเหมือนกัน เพื่อหลอกลวงวิญญาณร้าย

ในยุคโรมันและยุคกลาง เชื่อกันว่าเจ้าสาวจะตกเป็นเป้าหมายของวิญญาณร้ายหรือผีที่อิจฉาความสุขในวันแต่งงาน เพื่อปกป้องเจ้าสาว เพื่อนเจ้าสาวจึงแต่งตัวเหมือนกัน เพื่อ “พรางตัว” ไม่ให้วิญญาณระบุว่าใครเป็นเจ้าสาวจริง นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกลักพาตัว (Bride kidnapping) อีกด้วย

เจ้าบ่าวเพื่อนเจ้าบ่าวคือ “ผู้พิทักษ์” ในยุคแรก

ในอดีต ยุคที่การแต่งงานบางครั้งเกิดขึ้นแบบบังคับหรือมีข้อพิพาทระหว่างครอบครัว เพื่อนเจ้าบ่าวจะเป็นเหมือน “ทหารรับจ้าง” หรือผู้คุ้มกันที่คอยปกป้องเจ้าบ่าวในกรณีที่เกิดการต่อต้านจากฝ่ายเจ้าสาว หรือแม้แต่ช่วยเจ้าบ่าวในการลักพาตัวเจ้าสาวหากถูกห้ามสมรส ซึ่งต่างจากปัจจุบันที่เพื่อนเจ้าบ่าวเป็นแค่เพื่อนสนิทและช่วยงานพิธี

ทำไมเจ้าบ่าวต้องอุ้มเจ้าสาวข้ามประตู?

ความเชื่อนี้มีต้นกำเนิดจากยุคโรมันและยุคกลาง โดยเชื่อว่าประตูเป็นจุดที่วิญญาณชั่วร้ายอาจซ่อนตัวอยู่ การอุ้มเจ้าสาวข้ามประตูจึงเป็นการปกป้องไม่ให้เธอสัมผัสกับพลังงานไม่ดี นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าเจ้าสาว “ยังไม่พร้อม” หรือรู้สึกอายและถ่อมตนที่จะออกจากบ้านพ่อแม่

ผ้าคลุมหน้าสีแดง สัญลักษณ์ขับไล่ปีศาจ

ในโรมันโบราณ ผ้าคลุมหน้าของเจ้าสาวมักจะเป็นสีแดงสด (เรียกว่า Flammeum) ซึ่งมีความหมายถึง “เปลวไฟ” เพื่อปกป้องเจ้าสาวจากปีศาจและโชคร้าย รวมถึงเป็นสัญลักษณ์ของความมีชีวิตชีวาและพลังงาน สีขาวในปัจจุบันแทนความบริสุทธิ์และความบริสุทธิ์ทางศีลธรรม ซึ่งเป็นวิวัฒนาการของความหมายตามยุคสมัย

“พ่อมอบลูกสาว”  จากการแลกเปลี่ยนสู่สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์

ในอดีต ผู้หญิงมักถูกมองว่าเป็น “ทรัพย์สิน” ของผู้ชาย โดยเฉพาะพ่อของเธอ การส่งมอบเจ้าสาวในพิธีแต่งงานถือเป็นการถ่ายโอนสิทธิ์และความรับผิดชอบจากพ่อไปยังสามี ซึ่งสะท้อนถึงโครงสร้างสังคมแบบชายเป็นใหญ่ในยุคนั้น แต่ในยุคปัจจุบัน พิธีนี้กลายเป็นช่วงเวลาที่สื่อถึงความรักและความไว้วางใจระหว่างครอบครัวและคู่แต่งงาน

ฮันนีมูน เริ่มต้นจากการเยี่ยมญาติ

คำว่า Honeymoon มาจากคำในภาษาอังกฤษโบราณ ที่หมายถึง “น้ำผึ้ง (honey)” และ “พระจันทร์ (moon)” ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาที่หวานชื่นหลังแต่งงาน แต่ในอดีต โดยเฉพาะในอังกฤษก่อนศตวรรษที่ 18 คู่แต่งงานใหม่จะไปเยี่ยมญาติหรือเพื่อนฝูงที่ไม่ได้มางานแต่ง เนื่องจากเป็นโอกาสที่ได้พบปะและรับของขวัญ จากนั้นฮันนีมูนก็เริ่มกลายเป็นช่วงเวลาส่วนตัวสำหรับคู่รักเพื่อพักผ่อนร่วมกัน

แหวนแต่งงาน การจ่ายสินสอดสู่สัญลักษณ์ความเชื่อใจ

แหวนแต่งงานมีต้นกำเนิดจากยุคโรมัน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการผูกมัดและการเป็นเจ้าของในความหมายแรกสุด ในยุคแรก เจ้าบ่าวจะมอบแหวนให้พ่อของเจ้าสาวเป็นเหมือน “สินสอด” เพื่อแสดงความมั่นใจและข้อตกลง แต่ต่อมาเปลี่ยนเป็นมอบให้เจ้าสาวโดยตรง แหวนวงกลมไม่มีจุดสิ้นสุดสื่อถึงความรักนิรันดร์ ส่วนการสวมแหวนที่นิ้วนางมือซ้ายนั้นมาจากความเชื่อว่ามีเส้นเลือดที่ตรงไปยังหัวใจ (vena amoris) ซึ่งทำให้แหวนมีความหมายลึกซึ้งทางความรักมากขึ้น

แม้ว่าประเพณีแต่งงานตะวันตกหลายอย่างจะพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่รากฐานและความหมายเบื้องหลังพิธีกรรมเหล่านี้ยังคงสะท้อนถึงความเชื่อ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นความหวังในการปกป้องเจ้าสาวจากภัยร้าย หรือการแสดงออกถึงความรักนิรันดร์ ทำให้พิธีแต่งงานไม่ใช่แค่ช่วงเวลาของความสุข แต่ยังเป็นเรื่องราวที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันอย่างลึกซึ้ง