
ครั้งแรกในประวัติศาสตร์! พาสปอร์ตสหรัฐฯ หลุด Top 10 พาสปอร์ตทรงอิทธิพลที่สุดในโลก
เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี ที่ “พาสปอร์ตสหรัฐอเมริกา” ไม่ติด 1 ใน 10 อันดับแรกของโลก หลังผลการจัดอันดับจาก ดัชนีเฮนลีย์ พาสปอร์ต อินเด็กซ์ (Henley Passport Index) ประจำปี 2025 เผยว่า พาสปอร์ตของสหรัฐฯ ร่วงลงมาอยู่ที่ อันดับ 12 เท่ากับมาเลเซีย
การจัดอันดับดังกล่าววัดจากจำนวนประเทศที่ผู้ถือพาสปอร์ตสามารถเดินทางเข้าได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าล่วงหน้า ซึ่งผลปีนี้พบว่า สิงคโปร์ ยังคงครองอันดับ 1 ต่อเนื่อง ตามมาด้วย เกาหลีใต้ ในอันดับ 2 และ ญี่ปุ่น ในอันดับ 3
รายงานระบุว่า พาสปอร์ตสหรัฐฯ เคยขึ้นถึงอันดับ 1 เมื่อปี 2014 แต่ตกลงอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และการร่วงมาอยู่อันดับ 12 ในปีนี้ ถือเป็นอันดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ เฮนลีย์ เริ่มจัดอันดับเมื่อกว่า 20 ปีก่อน
บริษัท Henley & Partners ผู้จัดทำดัชนีอธิบายว่า หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้อันดับของพาสปอร์ตสหรัฐฯ ลดลง คือ “การขาดสมดุล” ระหว่างประเทศที่ชาวอเมริกันสามารถเดินทางไปได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า และประเทศที่ได้รับสิทธิ์เข้ามายังสหรัฐฯ โดยไม่ต้องยื่นขอวีซ่าล่วงหน้า
ข้อมูลระบุว่า ผู้ถือพาสปอร์ตสหรัฐฯ สามารถเดินทางไปยังประเทศต่างๆได้โดยไม่ต้องขอวีซ่ารวม 180 ประเทศ แต่กลับมีเพียง 46 ประเทศเท่านั้น ที่สามารถเข้าสหรัฐฯ ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า ส่งผลให้สหรัฐฯ อยู่เพียง อันดับที่ 77 จาก 199 ประเทศ ใน “ดัชนีความเปิดกว้างของเฮนลีย์”
นอกจากนี้ ยังมีหลายปัจจัยที่ทำให้อันดับของสหรัฐฯ ลดลงต่อเนื่อง เช่น การที่ บราซิล เริ่มบังคับให้ชาวอเมริกันยื่นขอวีซ่าเข้าประเทศตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ขณะที่ จีน ก็ยังไม่เพิ่มสหรัฐฯ ในรายชื่อประเทศที่พลเมืองเดินทางเข้าได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า เช่นเดียวกับ ปาปัวนิวกินี, เมียนมา, เวียดนาม และ โซมาเลีย ที่มีการปรับเงื่อนไขใหม่ซึ่งส่งผลกระทบต่อคะแนนของสหรัฐฯ โดยตรง
อีกหนึ่งเหตุผลที่นักวิเคราะห์ชี้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญ คือ นโยบายควบคุมคนเข้าเมืองในยุคของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจำกัดการเดินทางของชาวต่างชาติ นักเรียน และแรงงานข้ามชาติ พร้อมเพิ่มค่าธรรมเนียมขอวีซ่าเข้าประเทศถึง 250 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 8,000 บาท) และบังคับให้ผู้ยื่นต้องเข้ารับการสัมภาษณ์ก่อนทุกครั้ง
เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ พบว่าสหรัฐฯมี “ความไม่เท่าเทียม” ในเรื่องการเดินทางโดยไม่ใช้วีซ่ามากที่สุด เป็นรองเพียง ออสเตรเลีย แต่ยังถือว่าแย่กว่า แคนาดา, นิวซีแลนด์ และ ญี่ปุ่น
ขณะที่ฝั่ง จีน กลับมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง โดยพาสปอร์ตจีนไต่จากอันดับ 94 ในปี 2015 ขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 64 ในปีนี้ และยังเปิดให้พลเมืองจากกว่า 76 ประเทศ เดินทางเข้าได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า ซึ่งมากกว่าสหรัฐฯ ถึง 30 ประเทศ ในขณะที่พาสปอร์ตไทย รั้งอันดับ 66 ของโลก ได้รับฟรีวีซ่าจาก 80 ประเทศ
Henley & Partners สรุปว่า ความแตกต่างเชิงนโยบายระหว่างสองมหาอำนาจสะท้อนภาพที่ชัดเจน สหรัฐฯยังคงใช้แนวทางปิดกั้นเพื่อความมั่นคง ขณะที่จีนเลือกใช้นโยบายเปิดประเทศและสร้างพันธมิตรทางการทูต ส่งผลให้ “พาสปอร์ตจีน” แข็งแกร่งขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่ “พาสปอร์ตอเมริกัน” กำลังสูญเสียอิทธิพลในเวทีโลกอย่างชัดเจน