
แจก "คนละครึ่ง" ไทยได้ส่วนลด แต่ประเทศนี้แจกหนักกว่า 3 เท่า ผลลัพธ์เป็นอย่างไร?
มาตรการแจก 3 ประเทศ vs คนละครึ่งไทย เทียบกันชัดๆ ใครเวิร์คสุด ใครคุ้มกว่ากัน?
โครงการ คนละครึ่ง กลายเป็นเครื่องมือหนึ่งที่รัฐไทยใช้ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายของประชาชนอย่างตรงจุด ในขณะที่บางประเทศเลือกใช้โมเดลวูเชอร์ (voucher) หรือคูปองที่แจกมากกว่าสามเท่า เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงลึกกว่าแบบเดิม แล้วเมื่อเทียบกันจริงๆ โมเดลแบบไหนได้ผลมากกว่า? บทความนี้รวบรวม 3 กรณีศึกษาจากต่างประเทศ พร้อมเปรียบเทียบกับไทย เพื่อให้เห็นภาพอย่างชัดเจนว่า “แจกเงิน / แจกสิทธิ์” แบบไหนอาจเหมาะกับไทยในช่วงนี้
1. ไทยแจกคนละครึ่ง – ไต้หวันแจกคูปอง 3 เท่า! แบบไหนเวิร์คกว่ากัน?
ในช่วงกลางปี 2020 รัฐบาลของไต้หวันเปิดโครงการ “Triple Stimulus Voucher” ให้ประชาชนจ่ายเงิน NT$1,000 แล้วได้รับคูปองมูลค่า NT$3,000 ซึ่งถือว่าเป็นการ “แจกหนัก” เมื่อเทียบกับโครงการในไทยที่รัฐร่วมจ่ายครึ่งหนึ่งในโครงการคนละครึ่ง
ผลลัพธ์ของไต้หวันคือ ได้ผู้ใช้สิทธิมากกว่า 22.89 ล้านคน หรือคิดเป็นราว 96% ของผู้มีสิทธิ์ รัฐประเมินว่าโครงการมีต้นทุนราว NT$51.05 พันล้าน และคาดว่าจะสร้างรายได้ให้ร้านค้าในท้องถิ่นถึงราว NT$100 พันล้าน
สำหรับไทย โครงการคนละครึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้เปิดให้ลงทะเบียนหลายเฟส โดยรัฐร่วมจ่ายให้ครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่ด้วยจำนวนเงินที่รัฐสนับสนุนต่อวัน/คน และกลุ่มเป้าหมายที่ครอบคลุม ทำให้ผลกระทบในระดับร้านค้าอาจแตกต่างจากกรณีไต้หวัน
- ไต้หวัน: แจกหนัก จ่ายน้อย ได้คูปองเต็ม → อัตราเข้าถึงสูง และผลการจับจ่ายที่เห็นชัด
- ไทย: แจกในระดับกว้าง แต่ไม่ได้โฟกัสที่ “จำนวนเงินต่อคนสูง” เหมือนไต้หวัน
2. คนไทยได้ส่วนลดกินข้าว – แต่คนเบลเยียมเอาวูเชอร์จ้างแม่บ้าน! ใครคุ้มกว่ากัน?
ในเบลเยียมมีระบบ Service Voucher (หรือ “Titres‑services”) ที่ผู้ใช้สามารถจ้างแรงงานภาคครัวเรือน เช่น งานทำความสะอาดบ้าน ดูแลผู้สูงอายุ ฯลฯ โดยซื้อวูเชอร์ในราคาที่ถูกมาก เมื่อเทียบกับมูลค่าจริงของบริการ
สถิติระบุว่า มากกว่า 1.2 ล้านครัวเรือนในเบลเยียมใช้วูเชอร์นี้ และในปี 2021 มีวูเชอร์ถูกซื้อถึง 130 ล้านใบ ซึ่งเติบโตขึ้นประมาณ 17% จากปีก่อนหน้า
ในไทย โครงการคนละครึ่งเน้นไปที่การจับจ่ายใช้สอยทั่วไป เช่น ร้านอาหาร ร้านค้า ซึ่งต่างจากเบลเยียมที่เน้นไปที่ “บริการ” ภายในบ้านมากกว่า
- เบลเยียม: โฟกัสบริการภาคครัวเรือน ส่งผลต่อแรงงานบริการและตลาดภายในบ้าน
- ไทย: โฟกัสจับจ่ายทั่วไป ส่งผลต่อร้านค้าแบบกว้างแต่ไม่ได้เจาะบริการเฉพาะ
3. ไทยกำลังแจกเงิน – ฮ่องกงให้ผู้สูงอายุเลือกหมอเองด้วยวูเชอร์! แบบไหนดูแลประชาชนกว่ากัน?
ในฮ่องกงมีโครงการ Elderly Health Care Voucher Scheme ที่รัฐให้วูเชอร์สำหรับผู้สูงอายุ (อายุ 65 ขึ้นไป) เพื่อใช้บริการทางการแพทย์หรือคลินิกเอกชนได้ตามประสงค์
สถิติ ณ ปลายเมษายน 2022 ระบุว่า มีผู้ใช้สิทธิจำนวนกว่า 1.45 ล้านคน หรือคิดเป็นราว 97% ของผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด มีผู้ให้บริการร่วมกว่า 10,800 แห่ง และจุดบริการมากถึงประมาณ 30,000 จุด
สำหรับไทย แม้จะมีระบบหลักประกันสุขภาพและสวัสดิการต่างๆ แต่ยังไม่มีวูเชอร์ที่เปิดให้ “เลือกบริการแพทย์เอกชนได้เอง” โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุในลักษณะเดียวกันกับฮ่องกง
- ฮ่องกง: ให้สิทธิ์ผู้สูงอายุเลือกบริการแพทย์เอกชนได้เอง เชื่อมโยงกับสุขภาพโดยตรง
- ไทย: แจกเงินเพื่อจับจ่ายทั่วไปมากกว่า หากอยากมองแบบ “ดูแลประชาชน” แบบครบด้าน อาจพิจารณารูปแบบที่ผสมบริการเข้ามา
บทเรียนที่ไทยอาจพิจารณา
การแจกเงินหรือวูเชอร์ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สิ่งที่สำคัญคือ ลักษณะของสิทธิ์ จำนวนเงิน และกลุ่มเป้าหมาย ที่รับสิทธิ์ ซึ่งมีผลต่อความคุ้มค่าและผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง
จากกรณีศึกษาทั้ง 3 ประเทศ เราสามารถวิเคราะห์ข้อได้เปรียบ–ข้อจำกัดของไทยได้ชัดขึ้น
สำหรับโครงการ คนละครึ่ง พลัส ที่กำลังจะเริ่ม ไทยอาจตั้งคำถามสำคัญว่า “แจกเงินเพื่อใช้จ่ายทั่วไป” หรือ “แจกสิทธิ์เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต” ถ้าออกแบบดี ก็อาจเป็นทั้งสองอย่างได้ในเวลาเดียวกัน
- วิธีลงทะเบียนคนละครึ่งพลัส รับ 2,000-2,400 บาท บนแอป เป๋าตัง คนเก่า ทำตามนี้
- ย้อนดู"เงินดิจิทัล" ครอบครัวเดียวได้ 50,000 บาท เปิดชัดๆ 5 คน ทำอาชีพอะไรกันบ้าง?!
คืนชีพ? “อนุทิน” จ่อปัดฝุ่น “คนละครึ่งเวอร์ชันใหม่” โซเชียลฯ จับตา มีลุ้นได้ใช้อีกครั้ง!
ขอบคุณข้อมูลจาก