
เอ็นดูมาก สาวต่างชาติเรียนภาษา "นับเวลาแบบไทย" โมง-ทุ่ม-ตี ยากจนขอยอมแพ้
เอ็นดูมาก สาวต่างชาติเรียนภาษาไทย เจอการนับเวลาแบบไทยที่ใช้คำว่า โมง-ทุ่ม-ตี ยากจนขอยอมแพ้
เรียกเสียงหัวเราะและความเอ็นดูจากชาวเน็ตไปเต็ม ๆ สำหรับผู้ใช้ TikTok ชื่อ @theogbibi สาวชาวต่างชาติที่ได้โพสต์คลิปเล่าประสบการณ์สุดปวดหัวหลังเรียนภาษาไทย โดยเฉพาะบทเรียนเรื่อง “การนับเวลาแบบไทย” ที่ทำเอาเจ้าตัวถึงกับร้องลั่น เพราะทั้งยาก ซับซ้อน และไม่เหมือนระบบเวลาแบบสากลที่เธอคุ้นเคย
ในคลิปดังกล่าว เธอเขียนแคปชั่นว่า “watch me learn about the Thai time system for the first time and have a complete meltdown” หรือแปลว่า “ดูฉันเรียนการนับเวลาแบบไทยเป็นครั้งแรก แล้วสติแตกไปเลย!” พร้อมโชว์สมุดโน้ตที่เต็มไปด้วยลายมือ จดหัวข้อ ‘โมง – ทุ่ม – ตี’ และภาพวาดวงนาฬิกาอย่างตั้งใจ
นับเวลาแบบไทย ยากแต่มีเสน่ห์เฉพาะตัว
เธอพยายามอธิบายการนับเวลาแบบไทย ซึ่งแบ่งออกเป็นช่วง ๆ ตามคำเฉพาะ เช่น “ตี”, “โมง”, “ทุ่ม” ที่ฟังดูน่ารักแต่กลับสร้างความสับสนให้ผู้เรียนต่างชาติไม่น้อย โดยสรุปที่เธอเรียนได้มีดังนี้:
- 1 AM ถึง 5 AM ต้องพูดว่า "ตี" ตามด้วยตัวเลข
- 6 AM ถึง 11 AM พูดตัวเลขตามด้วยคำว่า "โมงเช้า" บางทีพูดแค่โมงเฉยๆ ไม่ต้องพูดคำว่าเช้าก็ได้
- 12 PM ใช้คำว่า เที่ยง
- 1 PM ถึง 3 PM ใช้คำว่า บ่ายโมง บ่ายสอง บ่ายสาม แค่ 3 ชั่วโมงแรกของตอนบ่าย
- 4 PM ถึง 6 PM พูดตัวเลข ตามด้วยคำว่า "โมงเย็น" แต่บางทีไม่ต้องพูดคำว่าเย็นก็ได้
- 7 PM ถึง 11 PM พูดตัวเลขตามด้วยคำว่า "ทุ่ม" แต่จะไม่พูดว่า เจ็ดทุ่ม 7 คือ หนึ่งทุ่ม / 8 คือ สองทุ่ม / 9 คือ สามทุ่ม ไล่ไป 1 2 3 4 5
- 12 AM ใช้คำว่า เที่ยง แต่ต้องเติมคำว่า "คืน" ไปด้วย
โซเชียลแห่คอมเมนต์ “เข้าใจเลยว่าทำไมงง!”
หลังคลิปถูกเผยแพร่ มีผู้ชมจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็น ทั้งเอ็นดูและให้กำลังใจสาวต่างชาติรายนี้ โดยหลายคนยอมรับว่าแม้แต่คนไทยเองยังเคยสับสนกับระบบเวลาไทยอยู่บ้าง และในแต่ละภูมิภาค แต่ละช่วงวัย ก็อาจจะเรียกขานไม่เหมือนกัน
ทำความเข้าใจ “วิธีนับเวลาตามประเพณีไทย” กับคำว่า โมง ทุ่ม และ ตี
ในอดีต คนไทยมีวิธีนับเวลาที่แตกต่างจากระบบสากล โดยใช้คำว่า “โมง” “ทุ่ม” และ “ตี” เพื่อบอกช่วงเวลาในแต่ละวัน ซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมไทยที่ผูกพันกับเสียงฆ้องและเสียงกลอง
“โมง” — การนับเวลาในช่วงกลางวัน
คำว่า “โมง” มาจากเสียงฆ้องที่ใช้ตีบอกเวลาในสมัยโบราณ หมายถึงการนับเวลาในเวลากลางวัน หากเป็นช่วงก่อนเที่ยง ตั้งแต่เวลา 07.00–11.00 น. จะเรียกว่า โมงเช้า ถึง ห้าโมงเช้า ส่วนเวลา 12.00 น. จะเรียกว่า เที่ยงวัน หลังจากนั้นตั้งแต่ 13.00–17.00 น. จะเรียกว่า บ่ายโมง ถึง บ่ายห้าโมง และเมื่อถึง 18.00 น. มักเรียกว่า หกโมงเย็น หรือ ย่ำค่ำ
“ทุ่ม” — การนับเวลาในช่วงหัวค่ำถึงเที่ยงคืน
คำว่า “ทุ่ม” มีที่มาจากเสียงกลองที่ใช้ตีบอกเวลาในยามค่ำ หมายถึงการนับเวลาในช่วง 19.00–24.00 น. โดยเริ่มจาก หนึ่งทุ่ม ถึง หกทุ่ม แต่ในทางปฏิบัติ หกทุ่ม มักเรียกกันว่า สองยาม ซึ่งเป็นคำที่ใช้ในระบบยามแบบไทยดั้งเดิม ซึ่งในปัจจุบันเรียกว่า เที่ยงคืน
“ตี” — การนับเวลาในช่วงหลังเที่ยงคืน
คำว่า “ตี” ใช้สำหรับนับเวลาหลังเที่ยงคืน ตั้งแต่ 01.00–06.00 น. โดยเรียกว่า ตีหนึ่ง ถึง ตีหก ซึ่ง ตีหก นั้นจะตรงกับช่วงเวลา ย่ำรุ่ง หรือเริ่มต้นของวันใหม่ ซึ่งปัจจุบันมักจะเรียกว่า หกโมงเช้า สมัยก่อนใช้แผ่นโลหะในการตีเพื่อบอกเวลา แต่เสียงโลหะนั้นไม่ดังมาก เพื่อใช้บอกสำหรับผู้ที่ยังไม่นอนหรือแลกเปลี่ยนเวรยาม และไม่เป็นการรบกวนมากเกินไป ซึ่งเสียงโลหะนั้นไม่ชัดพอที่จะแปลงมาเป็นคำพูดได้ จึงใช้คำว่า ตี
สรุป: ภูมิปัญญาไทยที่สะท้อนจังหวะชีวิต
วิธีนับเวลาแบบไทยไม่เพียงแต่เป็นระบบบอกเวลา แต่ยังสะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อนที่ใช้เสียงฆ้องและกลองเป็นสัญญาณร่วมกันในชุมชน แม้ปัจจุบันจะเปลี่ยนมาใช้ระบบ 24 ชั่วโมง แต่คำว่า โมง ทุ่ม และ ตี ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมภาษาไทยที่เราคุ้นเคยและใช้กันอยู่จนถึงทุกวันนี้