เนื้อหาในหมวด ข่าว

เกิดมาเพิ่งรู้!! แค่กินสิ่งนี้ 1 ช้อนก่อนนอน \

เกิดมาเพิ่งรู้!! แค่กินสิ่งนี้ 1 ช้อนก่อนนอน "หยุดกรน" หลับหายใจโล่ง ไม่รบกวนคนข้างๆ

รู้หรือไม่ว่า.... กินน้ำผึ้งก่อนนอน ลดอาการกรนได้จริง เคล็ดลับธรรมชาติที่ช่วยให้หายใจโล่ง หลับสบาย ไม่รบกวนคนข้างๆ

หยุดอาการกรนง่ายๆ ด้วยการกินน้ำผึ้งก่อนนอน น้ำผึ้งมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและช่วยเปิดทางเดินหายใจ ลดเสียงกรนและทำให้นอนหลับได้ลึกขึ้น เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาการกรนหรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

อาการกรนอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ และแม้แต่โรคหลอดเลือดสมอง อย่างไรก็ตาม มีวิธีง่าย ๆ ที่อาจช่วยลดการกรนได้ ด้วยการกินน้ำผึ้งหนึ่งช้อนก่อนเข้านอน ซึ่งถือเป็นอาหารมหัศจรรย์ยามค่ำคืนที่ช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาเรื่องการกรน หรือผู้ที่นอนข้างคนกรน สามารถพักผ่อนได้อย่างสงบมากขึ้น

"น้ำผึ้ง" กับคุณสมบัติต้านการอักเสบและลดอาการกรน

แม้ว่าจะมีวิธีแก้การกรนมากมาย แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับแนะนำว่า การกินน้ำผึ้งหนึ่งช้อนก่อนนอนเป็นวิธีง่ายแต่ได้ผล น้ำผึ้งมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านจุลชีพที่โดดเด่น ช่วยบรรเทาอาการอักเสบในลำคอและลดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อที่เป็นสาเหตุของเสียงกรน ทำให้ช่องทางเดินหายใจเปิดโล่งมากขึ้น และลดความเสี่ยงของการกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คุณสามารถกินน้ำผึ้งเพียวๆ หนึ่งช้อน หรือผสมน้ำผึ้งในน้ำอุ่น ชาคาโมมายล์ หรือชาขิงหลังอาหารเย็นและก่อนเข้านอน เพื่อสร้างกิจวัตรผ่อนคลายก่อนนอน ช่วยให้ร่างกายสงบและพร้อมเข้าสู่การพักผ่อน

ประโยชน์ของน้ำผึ้งต่อสุขภาพ

น้ำผึ้งอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและมีสรรพคุณทางยา ช่วยบรรเทาอาการไอ ลดการระคายเคืองคอ สมานแผลไฟไหม้ และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดความดันโลหิตและเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

น้ำผึ้งมีสารโพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง เมื่อบริโภคในปริมาณเหมาะสมจะช่วยเพิ่มระดับสารต้านอนุมูลอิสระในเลือด โดยเฉพาะน้ำผึ้งสีเข้มมักมีปริมาณสารเหล่านี้มากกว่า

วิธีธรรมชาติลดการกรนเพิ่มเติม

นอกจากน้ำผึ้งแล้ว ยังมีวิธีธรรมชาติอื่นๆ ที่ช่วยลดการกรน เช่น การใช้น้ำมันหอมระเหยอย่างยูคาลิปตัสหรือเปปเปอร์มินต์เพื่อช่วยเปิดทางเดินหายใจ คุณอาจใช้เครื่องกระจายน้ำมันในห้องนอน หรือหยดลงในอ่างน้ำอุ่นก่อนนอนเพื่อช่วยให้หายใจโล่งขึ้น

การรับประทานอาหารต้านการอักเสบ เช่น ขมิ้น หรืออาหารที่มีโอเมกา-3 สูงอย่างปลาแซลมอน ช่วยลดการอักเสบในลำคอและอาจลดโอกาสการกรนได้ ควรรักษาเวลานอนให้สม่ำเสมอ ดื่มน้ำให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงอาหารมื้อหนักและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน เพื่อช่วยลดการกรนและปรับคุณภาพการนอนให้ดีขึ้น

แม้น้ำผึ้งจะมีประโยชน์ต่อหลายคน แต่ก็ไม่ใช่วิธีรักษาอาการกรนที่ได้ผล 100% หากมีอาการกรนรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการรักษาที่เหมาะสม

สาเหตุของอาการกรน

อาการกรนเกิดจากการสั่นของเนื้อเยื่อในลำคอขณะนอนหลับ ซึ่งอาจทำให้ทางเดินหายใจตีบหรืออุดตันบางส่วน เมื่อกล้ามเนื้อเพดานอ่อน ลิ้น และลำคอคลายตัว การไหลของอากาศจึงแรงขึ้นและทำให้เกิดเสียงกรน สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่

  • น้ำหนักเกินหรือภาวะอ้วน
  • ตั้งครรภ์
  • ภูมิแพ้
  • โรคหืด
  • คัดจมูกจากหวัดหรือไข้หวัดใหญ่
  • ความผิดปกติของโพรงจมูก เช่น ผนังกั้นจมูกคด หรือมีติ่งเนื้อในจมูก
  • ต่อมทอนซิลหรืออะดีนอยด์โต
  • เพดานอ่อนยาวหรือลิ้นไก่ยาว
  • ดื่มแอลกอฮอล์
  • การใช้ยาคลายกล้ามเนื้อหรือยาบางชนิด
  • การสูบบุหรี่
  • อายุที่มากขึ้น
  • ท่านอนหงาย
  • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnoea)

    การกรนอาจเป็นสัญญาณของโรคภูมิแพ้หรือโรคหืดทั่วไป แต่บางกรณีอาจเกี่ยวข้องกับภาวะที่ร้ายแรงกว่า คือ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งเป็นภาวะที่การหายใจหยุดชะงักระหว่างการนอน ผู้ป่วยมักกรนเสียงดังหรือมีเสียงสำลักเนื่องจากร่างกายขาดออกซิเจน ทำให้ตื่นบ่อยในตอนกลางคืน

    ในกรณีรุนแรง การหยุดหายใจอาจเกิดขึ้นหลายร้อยครั้งต่อคืน หรือแม้แต่ขณะงีบกลางวัน ภาวะนี้เชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะอ้วน และเบาหวานชนิดที่ 2

    อาการของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

    ตามข้อมูลจาก NHS อาการส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นระหว่างนอนหลับ เช่น

  • การหายใจหยุดและเริ่มใหม่เป็นช่วงๆ
  • มีเสียงสำลัก สะอึก หรือกรนดัง
  • ตื่นบ่อยระหว่างคืน
  • กรนเสียงดังมาก
  • ในเวลากลางวันอาจมีอาการดังนี้

  • รู้สึกง่วงหรือล้าอย่างมาก
  • มีปัญหาในการจดจ่อหรือสมาธิสั้น
  • อารมณ์แปรปรวน
  • ปวดหัวเมื่อตื่นนอน
  • NHS ระบุว่า “การสังเกตภาวะหยุดหายใจขณะหลับด้วยตนเองอาจทำได้ยาก อาจขอให้คนอื่นช่วยสังเกตอาการขณะคุณนอนหลับ” และยังชี้ว่า ปัจจัยเสี่ยงของโรคนี้ ได้แก่

  • ภาวะอ้วน
  • มีลำคอใหญ่
  • อายุมากขึ้น (แต่เด็กและวัยรุ่นก็สามารถเป็นได้)
  • มีประวัติคนในครอบครัวเป็นภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
  • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
  • มีต่อมทอนซิลหรืออะดีนอยด์โต
  • การนอนหงาย
  • โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)
  • NHS แนะนำว่า “ควรพบแพทย์หากมีอาการสำคัญของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ และควรให้ผู้ที่สังเกตเห็นอาการของคุณมาด้วย เพื่อช่วยอธิบายต่อแพทย์ เพราะโรคนี้อาจเป็นอันตรายหากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม”