เนื้อหาในหมวด ข่าว

แม่น้ำสายไหน \

แม่น้ำสายไหน "ยาวที่สุด" ในประเทศไทย ตำนานแม่ร้องไห้ น้ำตาไหลเป็นสายน้ำ

แม่น้ำชี “แม่น้ำที่ยาวที่สุดในประเทศไทย” ความยาวกว่า 765 กิโลเมตร

แม่น้ำชี เป็นแม่น้ำสายหลักของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และถือเป็น แม่น้ำที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ด้วยระยะทางกว่า 765 กิโลเมตร เป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนและพื้นที่เกษตรในหลายจังหวัด ก่อนจะไหลไปรวมกับแม่น้ำมูลที่จังหวัดอุบลราชธานี

เส้นทางการไหลของแม่น้ำชี

แม่น้ำชีจึงไม่เพียงเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในประเทศไทย แต่ยังเป็นสายน้ำแห่งตำนานและวัฒนธรรม ที่หล่อเลี้ยงแผ่นดินอีสานมานับร้อยปี แม่น้ำชีมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดชัยภูมิ และไหลผ่านพื้นที่สำคัญของภาคอีสาน รวมทั้งหมด 9 จังหวัด ได้แก่

  • ชัยภูมิ (ต้นกำเนิด)
  • นครราชสีมา (บางส่วน)
  • ขอนแก่น
  • มหาสารคาม
  • กาฬสินธุ์
  • ร้อยเอ็ด
  • ยโสธร
  • ศรีสะเกษ (บางส่วน ก่อนบรรจบแม่น้ำมูล)
  • อุบลราชธานี (จุดบรรจบกับแม่น้ำมูล)

นอกจากจะเป็นแหล่งน้ำสำคัญเพื่อการเกษตรและการดำรงชีวิตแล้ว แม่น้ำชียังมีบทบาททางประวัติศาสตร์และโบราณคดีของภาคอีสานมายาวนาน

ที่มาของชื่อ “แม่น้ำชี”

ชื่อ "แม่น้ำชี" มีที่มาจากลักษณะทางภูมิศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ในบริเวณต้นกำเนิดของแม่น้ำในภาคอีสาน โดยสันนิษฐานว่าชื่อนี้ไม่ได้มาจากภาษาไทยภาคกลาง แต่มาจากภาษาท้องถิ่นอีสาน (ลาว) ที่ใช้คำว่า "ซี" ซึ่งมีความหมายว่า การเจาะทะลุเป็นรู หรือ ไหลลอด

บริเวณต้นน้ำชีในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ มีลักษณะทางธรณีวิทยาเป็นเทือกเขาหินปูน ซึ่งทำให้สายน้ำมีพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากแม่น้ำทั่วไป โดยเฉพาะปรากฏการณ์น้ำลอดและน้ำทะลุผ่านใต้เทือกเขา

ซีดั้น : หมายถึง ลักษณะที่สายน้ำไหลลงไป ลอดใต้ ภูเขาหินปูน

ซีผุด: หมายถึง ลักษณะที่สายน้ำไหล ทะลุ ออกมาจากอีกฝั่งหนึ่งของภูเขา

เนื่องจากลักษณะทางธรรมชาติที่สายน้ำมีการ "ซี" หรือ "เจาะทะลุ" เป็นรูในพื้นที่ต้นกำเนิดเป็นส่วนใหญ่ ชาวบ้านในท้องถิ่นจึงเรียกแม่น้ำสายนี้ว่า "น้ำซี" ซึ่งต่อมาได้เพี้ยนเสียงและกลายเป็น "แม่น้ำชี" ที่เป็นที่รู้จักกันในปัจจุบัน

ตำนานพื้นบ้าน

มีเรื่องเล่ากันมาว่า ชื่อของ “แม่น้ำชี” มีที่มาจากเรื่องเศร้าของหญิงหม้ายคนหนึ่งที่อาศัยอยู่กับลูกสาวเพียงสองคน หลังสามีเสียชีวิต นางหาเลี้ยงชีพด้วยการเก็บหน่อไม้จากภูเขาไปขาย

วันหนึ่ง นางเก็บหน่อไม้ได้มากกว่าทุกครั้ง หน่อไม้ขายดีจนได้เงินจำนวนมาก จึงพาลูกสาวไปซื้อเสื้อผ้าและของที่ลูกอยากได้ ขณะอยู่ในตลาด ผู้คนต่างชื่นชมในความงามของลูกสาว บางคนถึงกับพูดว่า “ลูกสาวของป้าสวยขนาดนี้ ทำไมไม่ให้เข้าไปอยู่ในวัง จะได้สบาย” คำพูดนั้นติดอยู่ในใจของนาง จนในที่สุดนางจึงพยายามหาทางส่งลูกสาวเข้าไปอยู่ในวัง

เมื่อเข้าไปอยู่ในวัง ลูกสาวของนางได้รับความนิยมและเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มมากมาย จนได้พบรักและแต่งงานกับลูกขุนนาง โดยไม่ได้บอกมารดา วันหนึ่งหญิงหม้ายจึงตัดสินใจเข้าไปเยี่ยมลูกในวัง แต่ลูกสาวกลับทำเหมือนไม่รู้จัก ซ้ำยังปฏิเสธความเป็นแม่อย่างไม่ใยดี ทำให้นางเสียใจอย่างที่สุด

หญิงหม้ายกลับบ้านด้วยหัวใจแตกสลาย ร่ำไห้ทุกวันด้วยความคิดถึงลูกที่ตนรักยิ่งนัก จนในที่สุดนางหมดอาลัยในชีวิต หันหน้าเข้าวัดและบวชเป็นชีเพื่อแสวงหาความสงบทางใจ วันหนึ่งนางกลับไปยังภูเขาที่เคยพาลูกไปหาหน่อไม้ และนั่งร้องไห้ด้วยความทุกข์จนสิ้นใจ ณ ที่นั่น น้ำตาของนางได้กลายเป็นสายน้ำที่ไหลรินอยู่ไม่รู้จบ

ชาวบ้านจึงเรียกแม่น้ำสายนี้ว่า “แม่น้ำชี” เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักและความเสียใจ

ตำนานจากอุรังคธาตุ

ตำนานของแม่น้ำชี ยังปรากฏอยู่ในเอกสารโบราณที่เรียกว่า “ตำนานอุรังคธาตุ” หรือที่รู้จักกันว่า “ตำนานพระธาตุพนม” ซึ่งเป็นจารึกอักษรธรรมอีสานบนแผ่นใบลาน คาดว่ามีอายุไม่ต่ำกว่า 400 ปี ต่อมากรมศิลปากรได้ปริวรรตเป็นอักษรไทยเมื่อปี พ.ศ. 2483

ในตำนานกล่าวถึงต้นกำเนิดของแม่น้ำต่าง ๆ ในลุ่มน้ำโขงว่า เดิมมีหนองน้ำใหญ่อยู่แห่งหนึ่งชื่อว่า “หนองแส” ซึ่งเชื่อกันว่าคือทะเลสาบเอ๋อไห่ เมืองต้าหลี่ มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ภายในหนองแสนี้มีพญานาคอาศัยอยู่ 8 ตน ได้แก่ พินทะโยนกวตินาค (เป็นใหญ่ทางหัวหนอง), ธนะมูนนาค (เป็นใหญ่ทางท้ายหนอง), ชีวายะนาค, หัตถีศรีสัตตนาค, สุกขรนาค, ปัพพารนาค, สุวรรณนาค และพุทโธปาปะนาค

พินทะโยนกวตินาคและธนะมูนนาคให้คำสัตย์ว่าจะหารอาหารแล้วแบ่งกันครึ่งหนึ่งเสมอ วันหนึ่งพินทะโยนกวตินาคจับเม่นได้ และแบ่งให้ตามสัญญา แต่ธนะมูนนาครู้สึกว่าไม่ยุติธรรม เพราะเม่นมีขนยาวแต่เนื้อน้อย จึงโกรธและเกิดวิวาทกันอย่างรุนแรง ทำให้น้ำในหนองแสขุ่นมัว จนสร้างความเดือดร้อนแก่สรรพสัตว์

เมื่อเรื่องถึงพระอินทร์ พระองค์จึงสั่งให้พระวิศวกรรมเทวบุตรลงมาปราบและขับไล่นาคทั้งแปดออกจากหนองแส บางตนถูกเหวี่ยงไปยังดินแดนต่าง ๆ และรอยเลื้อยของพวกนาคก็กลายเป็นแม่น้ำหลายสาย เช่น

  • พินทะโยนกวตินาคและชีวายะนาค ถูกเหวี่ยงไปตกนอกหนองแส รอยเลื้อยกลายเป็น “แม่น้ำอู” ในประเทศลาว

  • พินทะโยนกวตินาคต่อมาแหวกแผ่นดินกลายเป็น “แม่น้ำปิง” และก่อเกิดเมืองโยนกวตินคร

  • ธนะมูนนาคเลื้อยตามแม่น้ำโขงลงใต้จนถึงลี่ผี แล้วเลื้อยแผ่นดินไปทางตะวันตก ก่อเกิด “แม่น้ำมูล”

  • ส่วนชีวายะนาค เลื้อยอ้อมเมืองหนองหานหลวงและหนองหานน้อย รอยเลื้อยนั้นกลายเป็น “ชีวายะนที” หรือ “แม่น้ำชี” ในปัจจุบัน

ตำนานนี้จึงอธิบายว่า แม่น้ำชีมีที่มาจากการเลื้อยของชีวายะนาค หนึ่งในแปดนาคแห่งหนองแส ผู้สร้างรอยทางแห่งสายน้ำซึ่งยังคงไหลหล่อเลี้ยงผืนแผ่นดินอีสานมาจนทุกวันนี้

 

แม่น้ำสายอื่นที่ยาวใกล้เคียง

  • แม่น้ำน่าน – ยาวประมาณ 740 กิโลเมตร
  • แม่น้ำปิง – ยาวประมาณ 715 กิโลเมตร 
  • แม่น้ำมูล – ยาวประมาณ 641 กิโลเมตร