ไม่ใช่เนื้อไก่-เนื้อหมู! 5 เนื้อสัตว์ที่ "ดีที่สุดในโลก" อันดับ 1 หลายคนคาดไม่ถึง
5 ประเภทเนื้อสัตว์ที่ดีที่สุดในโลก อันดับ 1 ทำหลายคนคาดไม่ถึง ไม่ใช่เนื้อไก่หรือเนื้อหมู
เมื่อพูดถึง “เนื้อที่ดีต่อสุขภาพ” หลายคนอาจนึกถึงเนื้อไก่หรือเนื้อหมูเป็นอันดับแรก เพราะเป็นวัตถุดิบคู่ครัวของคนไทย แต่เชื่อหรือไม่ว่า ทั้งสองอย่างนี้กลับไม่ติดอันดับใน 5 อันดับเนื้อที่ดีที่สุดในโลกตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและแพทย์
แม้เนื้อไก่จะได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชาแห่งเนื้อขาว” และเนื้อหมูจะเป็นส่วนประกอบหลักของอาหารหลายเมนู แต่ในแง่โภชนาการแล้ว ยังมีเนื้ออีกหลายชนิดที่มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่า และดีต่อหัวใจมากกว่า โดยอันดับ 1 เป็นเนื้อที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง เพราะไม่ค่อยได้รับความนิยมในกลุ่มคนวัยกลางคนและผู้สูงอายุ ทั้งที่มีโปรตีนสูง ไขมันต่ำ และดีต่อสุขภาพอย่างมาก

1. เนื้อปลา
แพทย์ส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่า “ปลา” โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก คือเนื้อที่ดีที่สุดต่อสุขภาพ เพราะอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งช่วยลดระดับไขมันในเลือด ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว และส่งเสริมการทำงานของสมอง
นอกจากนี้ เนื้อปลายังย่อยง่ายกว่าเนื้อแดง โปรตีนมีโครงสร้างละเอียด เหมาะกับผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาเรื่องฟัน หากไม่ชอบกลิ่นคาว แนะนำปลาที่มีกลิ่นอ่อนและเนื้อนุ่ม เช่น ปลาคอด แซลมอน ปลานิล ซึ่งสามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลาย ทั้งนึ่ง ต้ม หรือต้มยำ
2. เนื้อกระต่าย
อันดับสองคือ “เนื้อกระต่าย” แม้ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในไทย แต่ในทางโภชนาการถือว่าเป็นเนื้อที่ดีมาก เพราะมีโปรตีนสูงกว่าเนื้อหมูถึง 2 เท่า และมีไขมันเพียงหนึ่งในห้าของเนื้อหมูเท่านั้น อีกทั้งยังมีกรดอะมิโนจำเป็นอย่างไลซีนและเมไทโอนีน ซึ่งดีต่อผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง เบาหวาน หรือปัญหาหัวใจ
แม้หลายคนจะยังลังเล แต่แท้จริงแล้ว เนื้อกระต่ายมีรสชาตินุ่ม ไม่มีกลิ่นแรง และหากปรุงอย่างถูกวิธี จะอร่อยไม่แพ้เนื้อไก่เลยทีเดียว

3. เนื้อวัว
หลายคนมักกลัวว่าเนื้อวัวเป็น “เนื้อแดง” ที่อาจเป็นอันตรายต่อหัวใจ แต่ในความเป็นจริง เนื้อวัวส่วนที่ไม่ติดมันกลับมีไขมันต่ำมาก และมีธาตุเหล็ก สังกะสี และวิตามินบี 12 สูง ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือด ป้องกันภาวะโลหิตจาง และช่วยเสริมความจำในผู้สูงอายุ
แพทย์แนะนำให้เลือกส่วนเนื้อที่ไม่ติดมัน เช่น สะโพก สันใน หรือเนื้อใบพาย และหลีกเลี่ยงส่วนที่มีไขมันมากอย่างเนื้อสามชั้นหรือซี่โครง วิธีปรุงที่เหมาะสมคือการตุ๋นหรือต้มไฟอ่อน เพื่อคงคุณค่าทางอาหารและลดการใช้น้ำมัน

4. เนื้อเป็ด
หลายคนเข้าใจผิดว่าเนื้อเป็ดมีไขมันมาก แต่จริงๆ แล้ว หากลอกหนังออก ปริมาณไขมันจะต่ำกว่าเนื้อหมูหรือเนื้อแกะเสียอีก เนื้อเป็ดยังมีคุณสมบัติเย็น ช่วยลดความร้อนในร่างกาย บำรุงร่างกาย เหมาะกับผู้ที่มักมีอาการร้อนใน ไอแห้ง หรืออ่อนเพลีย
ในหลายพื้นที่ของภาคใต้และภาคกลาง นิยมทำเป็ดตุ๋นยาจีนหรือเป็ดอบสมุนไพรเพื่อบำรุงร่างกายในช่วงอากาศร้อน ซึ่งถือเป็นเมนูสุขภาพยอดนิยมของคนในท้องถิ่น
5. เนื้อนกพิราบ
แม้จะไม่ใช่เนื้อที่หาทานได้ทั่วไป แต่เนื้อนกพิราบถือเป็นอาหารบำรุงชั้นยอด มีคำกล่าวโบราณว่า “กินนกพิราบหนึ่งตัว เท่ากับกินไก่สามตัว” เพราะเนื้อนกพิราบอุดมด้วยโปรตีนสูง พร้อมด้วยกรดอะมิโนคาร์โนซีน เหล็ก สังกะสี และซีลีเนียม ซึ่งช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ฟื้นฟูร่างกาย และกระตุ้นการไหลเวียนเลือด เหมาะกับผู้สูงอายุหรือผู้ที่เพิ่งหายจากอาการเจ็บป่วย
เหตุผลที่เนื้อไก่และเนื้อหมูไม่ติดอันดับ “เนื้อทองคำ”
ไม่ใช่เพราะสองชนิดนี้ไม่ดี แต่เพราะมีคุณค่าทางอาหารและสัดส่วนไขมันที่ด้อยกว่า โดยเนื้อหมูมีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง หากบริโภคมากเกินไปอาจทำให้ระดับไขมันในเลือดเพิ่ม น้ำหนักขึ้น และเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
ส่วนเนื้อไก่ แม้จะจัดเป็นเนื้อขาว แต่ด้วยรูปแบบการเลี้ยงเชิงอุตสาหกรรมและวิธีปรุงที่มักใช้น้ำมันมาก เช่น การทอดหรือย่าง จึงทำให้ประโยชน์ทางสุขภาพลดลงไป
คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
- สลับชนิดของเนื้อสัตว์ในแต่ละวัน เช่น ปลา กระต่าย วัว เป็ด และนกพิราบ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารหลากหลาย
- กินในปริมาณพอดีต่อมื้อ (ประมาณขนาดฝ่ามือ) และควรกินคู่กับผักใบเขียวและธัญพืชไม่ขัดสีเพื่อเพิ่มใยอาหาร
- เลือกวิธีปรุงอาหารที่เบา เช่น นึ่ง ต้ม หรือตุ๋น หลีกเลี่ยงการทอดหรือปิ้งย่างบนเตาถ่านโดยตรง
สุดท้ายแล้ว “ไม่มีเนื้อชนิดใดที่สมบูรณ์แบบ” แต่การเลือกกินอย่างพอดีและสมดุลต่างหาก ที่เป็นกุญแจสำคัญของสุขภาพที่ดีในระยะยาว