“Truth Unseen” เวทีโชว์ศักยภาพนักศึกษาการสื่อสารการแสดงดิจิทัล คณะนิเทศศาสตร์ DPU
“Truth Unseen” เวทีโชว์ศักยภาพนักศึกษาการสื่อสารการแสดงดิจิทัล คณะนิเทศศาสตร์ DPU ปลุกพลังทีมเวิร์ก–สร้างมืออาชีพ ผ่านประสบการณ์ละครเวทีจริง
คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) โดยหลักสูตรการสื่อสารการแสดงดิจิทัล ได้จัดแสดงผลงานของนักศึกษาชั้นปีที่ 4 ภายใต้รายวิชา “โครงการปฏิบัติสื่อสารการแสดงดิจิทัล” ซึ่งถือเป็นรายวิชาสำคัญของชั้นปีสุดท้าย ที่มุ่งให้นักศึกษาได้ฝึกปฏิบัติจริงผ่านการสร้างสรรค์ “ละครเวที” ตั้งแต่ขั้นวางแผนแนวคิด พัฒนาเนื้อหา แบ่งบทบาทหน้าที่ ฝึกซ้อมการแสดง จนถึงการแสดงจริงต่อสาธารณชน โดยได้รับเกียรติจาก ผศ.ศิวนารถ หงษ์ประยูร คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ , อาจารย์พลฤทธิ์ สมุทรกลิน อาจารย์ประจำหลักสูตรฯ ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและผู้กำกับดูแลการเรียนรู้ในภาพรวม ตลอดจนคณาจารย์และนักศึกษาเข้าร่วมงานกันอย่างคึกคัก เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ณ โรงละคร คณะนิเทศศาสตร์ อาคาร 12 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU)
อาจารย์พลฤทธิ์ สมุทรกลิน อาจารย์ประจำหลักสูตรการสื่อสารการแสดงดิจิทัล คณะนิเทศศาสตร์ กล่าวว่า ละครเวทีในวันนี้คือเรื่อง “Truth Unseen” ซึ่งเป็นละครแนวระทึกขวัญ–จิตวิทยา ถ่ายทอดเรื่องราวของผลลัพธ์จากอดีตที่ย้อนกลับมาหลอกหลอนในปัจจุบัน ผ่านสถานการณ์ที่คล้าย “เกมเอาชีวิตรอด” ซึ่งบีบให้ตัวละครต้องเผชิญหน้ากับด้านมืดในจิตใจตนเอง จุดเด่นคือการออกแบบการแสดงให้สมจริงภายใต้ข้อจำกัดของเวทีสด เช่น ฉากความรุนแรง ฉากตึงเครียด หรือฉากที่ต้องใช้เอฟเฟกต์จำลองสถานการณ์ให้ผู้ชมเชื่อในสิ่งที่เห็นโดยไม่ต้องพึ่งการตัดต่อแบบภาพยนตร์ ที่จัดแสดงขึ้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ณ โรงละคร คณะนิเทศศาสตร์ อาคาร 12 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU)
อาจารย์พลฤทธิ์ เปิดเผยอีกว่า หัวใจของวิชานี้ไม่ใช่แค่การเล่นละครให้จบหนึ่งเรื่อง แต่คือการเรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น การสื่อสาร การตัดสินใจ และการแก้ปัญหาอย่างมืออาชีพ เพราะละครเวทีเป็นงานที่ไม่มีใครสามารถทำได้เพียงลำพัง ทุกองค์ประกอบต้องสัมพันธ์กันตั้งแต่บท การแสดง ดนตรี แสง สี เสียง ไปจนถึงการจัดการเวลาและวินัยในทีม 
ภายในรายวิชานี้ นักศึกษาเริ่มต้นด้วยการระดมความคิดและประชุมกลุ่ม เพื่อกำหนดแนวทางโปรเจกต์ของตนเอง ทั้งการเลือกผู้กำกับ นักแสดง ผู้ออกแบบเวที ไปจนถึงฝ่ายเทคนิค โดยปีนี้นักศึกษาตัดสินใจสร้างผลงานออกมา 2 โปรดักชันหลักที่สะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละทีม ได้แก่ ละครเวทีเรื่อง “Truth Unseen” ส่วนละครเวทีเรื่องที่ 2 คือ “ซาฟาราห์” กำเนิดตะเกียงวิเศษ พรจากตะเกียงคือประตูสู่คำสาปอันนิรันดร์ อีกหนึ่งโปรดักชันที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงในรูปแบบ มิวสิคัลเต็มรูปแบบ ถ่ายทอดเรื่องราวก่อนที่อะลาดินจะได้พบกับตะเกียงวิเศษ ผ่านบทเพลง การเต้น และโชว์ที่ต้องร้องสดตลอดทั้งเรื่อง นักศึกษาพัฒนาบทด้วยตนเองโดยอ้างอิงวรรณกรรมต้นฉบับ พร้อมเพิ่มมิติของตัวละครและเรื่องราวให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ความท้าทายของโปรเจกต์นี้คือการผสมผสานระหว่าง “การร้อง การเต้น และการแสดง” ให้ลงตัวในเวลาจำกัด ซึ่งต้องอาศัยการฝึกซ้อมอย่างเข้มข้นทุกวัน และจะฉายจริงในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568
“เด็กกลุ่มนี้กล้าทำสิ่งที่ยากมาก เขาอยากทำมิวสิคัล ทั้งที่ต้องร้องสด เต้นจริง และแสดงต่อหน้าผู้ชมพร้อมกัน ซึ่งไม่ง่ายเลย เพราะมันไม่ใช่แค่จำบทให้ได้ แต่ต้องควบคุมลมหายใจ อารมณ์ และจังหวะการเคลื่อนไหวทั้งหมดให้สัมพันธ์กัน” อาจารย์พลฤทธิ์ กล่าวเสริม
อาจารย์ประจำหลักสูตรการสื่อสารการแสดงดิจิทัล ยังกล่าวอีกว่า ตลอดระยะเวลาราว 3 เดือน นักศึกษาทุกคนต้องร่วมกันวางแผนซ้อมอย่างมีระบบ แบ่งช่วงซ้อมตามโครงสร้างบท ตั้งแต่การอ่านบท (Reading) การซ้อมบล็อก (Blocking) ไปจนถึงการรวมทุกองค์ประกอบเข้าด้วยกันในช่วง “Full Run” ซึ่งเป็นการซ้อมจริงเสมือนวันแสดงจริง ทุกขั้นตอนมีการกำหนดมาตรฐานร่วมกัน เช่น การใช้เสียง การเคลื่อนไหว การสื่ออารมณ์ และการคุมจังหวะบนเวที
“ละครเวทีไม่มีเทคใหม่ ไม่มีตัดต่อ ทุกอย่างต้องแม่น ต้องพร้อม และต้องเชื่อมกันทั้งระบบ เสียง ดนตรี แสง เอฟเฟกต์ ทุกส่วนต้องสัมพันธ์กันหมด นี่คือสิ่งที่ทำให้การซ้อมต้องละเอียดมาก ผลลัพธ์ของการฝึกซ้อมอย่างหนัก คือการแสดงจริงที่ “เกินคาด” ทั้งด้านความสมจริงของอารมณ์ ความพร้อมของทีม และความมั่นใจของนักแสดงที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกได้อย่างลึกซึ้ง เราเห็นพัฒนาการของนักศึกษาจากวันแรกที่ยังเกร็ง ยังไม่เชื่อในบทบาทของตัวเอง จนถึงวันที่เขาสามารถเชื่อในสถานการณ์และส่งต่ออารมณ์นั้นไปถึงคนดูได้จริง ๆ” อาจารย์พลฤทธิ์ กล่าว
สิ่งที่นักศึกษาได้รับจากรายวิชานี้ ไม่ใช่เพียงทักษะการแสดง แต่คือการเรียนรู้การทำงานจริงในโลกของสื่อสร้างสรรค์ ตั้งแต่การจัดการทีม การรับมือกับปัญหา การบริหารเวลา ไปจนถึงการสื่อสารและฟังความคิดเห็นของผู้อื่น นักศึกษาได้รู้ว่าทฤษฎีที่เรียนมาในปี 1–3 จะมีค่าจริงก็ต่อเมื่อได้นำมาปฏิบัติจริง และละครเวทีคือสนามฝึกที่สมบูรณ์แบบที่สุด เพราะบังคับให้ตัวนักศึกษาต้องพร้อมในทุกด้าน ทั้งร่างกาย จิตใจ และทีมเวิร์ก
ขณะที่นายนวพล ลือสกุล นักศึกษาชั้นปีที่ 4 หลักสูตรการสื่อสารการแสดงดิจิทัล ในฐานะโปรดิวเซอร์ของโปรเจกต์ “Truth Unseen” เล่าว่า การทำงานเริ่มต้นจากการแบ่งกลุ่มและเสนอแนวคิดละคร 4 เรื่อง ก่อนคัดเลือกให้เหลือเพียง 2 โปรดักชันสุดท้าย ซึ่งทีมของตนเลือกทำแนวระทึกขวัญ เพราะชื่นชอบและมีแรงบันดาลใจร่วมกันในแนวทางเดียวกัน “ตอนเริ่มต้นต้องเริ่มจากศูนย์ โดยเฉพาะกระบวนการเขียนบทที่ยากมาก ถ้าไม่มีแรงบันดาลใจ คงไปต่อไม่ได้ จุดเริ่มของเรื่องมาจากแนวคิดเกมเอาชีวิตรอด นำไอเดียนี้มาพัฒนาให้กลายเป็นพล็อตที่มีความลึกและสะท้อนด้านมืดของมนุษย์”
นายนวพล กล่าวว่า ตนได้วางโครงงานตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งงบประมาณ การผลิต การบริหารเวลา และการประสานงานกับทุกฝ่าย มหาวิทยาลัยสนับสนุนงบประมาณบางส่วน แต่อีกส่วนต้องหาทุนเอง และได้รับการสนับสนุนจากสปอนเซอร์หลายราย ทั้งด้านอุปกรณ์และอาหาร ซึ่งช่วยให้ลดต้นทุนได้มาก ต้องขอบคุณทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมในความสำเร็จครั้งนี้ พร้อมยอมรับว่าช่วงเตรียมงานเป็นช่วงที่หนักที่สุด โดยเฉพาะในส่วนของการซ้อมและการสื่อสารในทีม เพราะซ้อมกันทุกวันตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ และช่วงท้าย ๆ ขยายเป็นจันทร์ถึงอาทิตย์ เพราะเวลามีจำกัด ต้องใช้พื้นที่ในมหาวิทยาลัยถึงสองทุ่ม แต่กลับดึกกันทุกวัน เพื่อให้ทุกอย่างพร้อมที่สุด ความยากที่สุดคือเรื่องการสื่อสาร เพราะทุกคนทำงานกันเป็นทีมใหญ่ ต้องคุยกันทุกวัน ประชุมตลอด แต่สุดท้ายผ่านทุกอย่างไปได้ด้วยความเข้าใจและความร่วมมือกัน
ในส่วนของการคัดเลือกนักแสดง ทีมงานใช้ระบบแคสติ้งเต็มรูปแบบ โดยออกแบบตัวละครตาม “4 อารมณ์หลัก” ได้แก่ ความโกรธจัด, ความเห็นแก่ตัว, การโกหกเพิกเฉย และความเศร้าลึกจากบาดแผลในอดีต โดยการคัดเลือกนักแสดงจากทั้งทักษะการแสดงและพื้นฐานบุคลิกจริง เพื่อให้สวมบทบาทได้สมจริง เช่น บางคนมีนิสัยใจร้อน หรือมีเสียงน้ำเสียงตรงกับบท จึงกลายเป็นตัวละครที่น่าเชื่อถือและเข้าถึงอารมณ์ผู้ชมได้มากขึ้น
แม้ในวันแสดงจริงจะเกิดปัญหาเล็กน้อย เช่น เสียงดับบางช่วง แต่นายนวพล ยืนยันว่า ทุกอย่างจบลงอย่างน่าประทับใจ เพราะทุกคนทุ่มเทและร่วมแรงร่วมใจมาตลอด 3 เดือนเต็มที่เหนื่อยมาด้วยกัน เห็นพัฒนาการของทุกคนจากวันแรกที่ยังไม่มั่นใจ จนวันนี้ทุกคนยืนบนเวทีได้อย่างภูมิใจ ไม่ใช่แค่ผลงานหนึ่งชิ้น แต่คือผลลัพธ์ของความพยายามของทีมทั้งหมด
นอกจากนี้นายนวพล ยังบอกอีกว่า รายวิชานี้ไม่ได้สอนเพียง “การแสดง” แต่เปิดโลกการเรียนรู้เรื่อง “การบริหารงานเบื้องหลัง” อย่างแท้จริง ตนได้เรียนรู้การทำงานในฐานะโปรดิวเซอร์ ตั้งแต่วางแผนโครงการ ประสานงาน ไปจนถึงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งตรงกับสายงานที่ผมฝึกงานอยู่ในปัจจุบัน ตนคิดว่าสิ่งที่เรียนมาช่วยให้ต่อยอดได้จริงในสายอาชีพ เพราะการแสดงกับการจัดการถูกเชื่อมโยงกันโดยตรง
สำหรับความรู้สึกต่อผลงาน “Truth Unseen” นายนวพล กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า ตนภูมิใจมาก คือบทพิสูจน์ว่าทุกความเหนื่อย ความขัดแย้ง หรือการพักผ่อนน้อย คุ้มค่ากับสิ่งที่ได้บนเวที เพราะละครเวทีเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การสื่อสารอารมณ์ แต่คือการสื่อสาร ‘ความร่วมมือ’ ของคนทั้งทีม