เนื้อหาในหมวด ข่าว

ล้ำค่ากว่าทอง?! จากของสูงสู่ไม้หวงห้าม ทำไม \

ล้ำค่ากว่าทอง?! จากของสูงสู่ไม้หวงห้าม ทำไม "น้ำมันจันทน์" จึงถูกแบนในไทยยุคก่อน

ย้อนรอย "น้ำมันจันทน์" จากเครื่องหอมกษัตริย์ สู่การถูกจำกัด...เพราะเสี่ยงสูญพันธุ์?

เปิดปม: ไขปริศนา “น้ำมันจันทน์” จากของสูงสู่ไม้หวงห้าม เครื่องหอมศักดิ์สิทธิ์ที่เคยถูกแบนในไทยยุคก่อน... เหตุใดจึงถูกจำกัดการใช้? เคยหายากยิ่งกว่าทองจริงหรือ?

น้ำมันจันทน์ (Sandalwood Oil) คือกลิ่นหอมโบราณที่ฝังลึกในวัฒนธรรมและพิธีกรรมของไทยมานับศตวรรษ เป็นหนึ่งใน "จตุชาติสุคนธ์" (ของหอม 4 ชนิด) ที่ใช้ในงานมงคลชั้นสูง แต่ในยุคหนึ่ง...ไม้แก่นจันทน์อันเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตกลับถูกขึ้นบัญชีเป็น "ไม้หวงห้ามพิเศษ" ภายใต้พระราชบัญญัติป่าไม้ ทำให้การครอบครองและซื้อขายต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางกฎหมายที่เข้มงวด ชวนให้สงสัยว่า...เครื่องหอมศักดิ์สิทธิ์นี้ต้องผ่านประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้อย่างไร?

จากงานราชพิธีถึงไสยศาสตร์: สถานะอันศักดิ์สิทธิ์ของ "จันทน์หอม"

ไม้จันทน์หอม (Santalum album) นั้นมีคุณสมบัติพิเศษคือมีกลิ่นหอมคงทนไม่เสื่อมคลาย แม้ตัวต้นจะตายไปแล้วก็ตาม ทำให้ถูกยกย่องเป็น ไม้มงคลชั้นสูง มาตั้งแต่สมัยพุทธกาล และถูกใช้เป็นส่วนสำคัญในพระราชพิธีของไทยเรื่อยมา เช่น:

  • งานอวมงคล: ใช้เป็นเชื้อเพลิงทำ พระโกศจันทน์ และ จิตกาธาน ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ/พระศพ ด้วยความเชื่อที่ว่ากลิ่นหอมของจันทน์จะช่วยนำเสด็จสู่สรวงสวรรค์

  • งานมงคล: ใช้เป็นส่วนประกอบของ กระแจะจันทน์ สำหรับเจิมหน้าผากเพื่อความเป็นสิริมงคลในพิธีสำคัญ (ดังที่ปรากฏในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน)

  • เครื่องรางของขลัง: น้ำมันจันทน์ยังถูกนำไปใช้ในวงการไสยศาสตร์เพื่อแช่เครื่องรางของขลัง เช่น เขี้ยว งา กระดูก โดยเชื่อว่าช่วยเสริมด้านเมตตามหานิยม

เหตุผลเบื้องหลังการ "แบน" (การจำกัดการใช้)

สถานะความเป็น "ไม้หวงห้ามพิเศษ" ที่มีผลในยุคก่อน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแบนการใช้ทางพิธีกรรมโดยตรง แต่เป็น มาตรการทางกฎหมายเพื่อควบคุมการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากไม้จันทน์หอมมีราคาสูงและหายาก การปล่อยให้มีการตัดโค่นอย่างเสรีจะนำไปสู่การทำลายป่าและเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์

แก่นของปัญหาคือ

  • ความล้ำค่าทางเศรษฐกิจ: ไม้จันทน์เป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงมาก (ทั้งในรูปไม้และน้ำมัน) ทำให้เกิดการลักลอบตัดในพื้นที่ป่าเพื่อนำไปขาย

  • สถานะทางกฎหมายในอดีต: ไม้จันทน์หอมถูกจัดอยู่ในบัญชี ไม้หวงห้าม ตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ศ. 2484 ในหมวดไม้ที่ต้องสงวนไว้ ทำให้การตัดหรือครอบครองไม้จากป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นความผิดร้ายแรง

  • ดังนั้น การ "แบน" ที่เกิดขึ้นจึงเป็นการ ควบคุมการค้าและการทำไม้ เพื่ออนุรักษ์ ไม่ใช่การห้ามใช้ในพิธีอย่างสิ้นเชิง แต่ผลกระทบคือทำให้วัตถุดิบหายากและมีราคาสูงมาก ส่งผลให้ "น้ำมันจันทน์แท้" กลายเป็นของหายากที่สงวนไว้สำหรับพิธีกรรมสำคัญและผู้มีกำลังซื้อเท่านั้น

    สถานะสูงสุดในอดีต! "น้ำมันจันทน์" คือหนึ่งใน "จตุชาติสุคนธ์" ของหอมชั้นสูง

    ก่อนจะเป็น "ไม้หวงห้าม" ไม้จันทน์หอมนั้นมีสถานะทางวัฒนธรรมและพิธีกรรมที่สูงส่งอย่างยิ่ง จนถูกนับเป็นหนึ่งใน จตุชาติสุคนธ์ หรือ "ของหอมสำคัญ 4 ชนิด" ที่ใช้ในพระราชพิธีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน การใช้ของหอมเหล่านี้เปรียบเสมือนการถวายเกียรติสูงสุด

    องค์ประกอบของ จตุชาติสุคนธ์ ประกอบด้วย:

  • จันทน์: ได้แก่ ไม้จันทน์หอม ที่ให้กลิ่นเย็น สงบ และใช้เป็นวัตถุดิบหลักของน้ำมันจันทน์

  • กฤษณา: ไม้หอมที่มีน้ำมันซึมซับอยู่ภายใน ให้กลิ่นลุ่มลึก ใช้ในเครื่องหอมบูชา

  • กระลำพัก: ไม้หอมหายากในตระกูลเดียวกับกฤษณา มีกลิ่นเฉพาะตัว

  • สีเสียด: ใช้เป็นส่วนผสมสำคัญในการทำกระแจะจันทน์และเครื่องหอมบำรุงผิวในอดีต

  • เกร็ดเสริม: การใช้ "กระแจะจันทน์" หรือการเจิมด้วยน้ำมันจันทน์ เป็นธรรมเนียมโบราณที่แสดงถึงความเป็นสิริมงคลและความผ่อนคลาย โดยเชื่อกันว่ากลิ่นหอมของจันทน์หอมที่คงทนแม้ต้นตายไปแล้วนั้น สื่อถึงความดีงามที่ไม่เสื่อมสลาย

    ผลกระทบที่มองข้ามไม่ได้! เมื่อ "ของศักดิ์สิทธิ์" กลายเป็นคดีป่าไม้

    การที่ภาครัฐต้องประกาศให้ไม้จันทน์หอมเป็น "ไม้หวงห้ามพิเศษ" นั้น ไม่ได้มีผลแค่เฉพาะในพิธีการ แต่ส่งผลกระทบลึกซึ้งต่อทั้งเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง:

  • ตลาดยาจกที่ร่ำรวย: การจำกัดการเข้าถึงทำให้เกิด การลักลอบตัดไม้ จากป่าอย่างกว้างขวางเพื่อนำไปขายในตลาดมืด เพราะไม้จันทน์มีมูลค่าสูงมากจน "หายากกว่าทอง" ในเชิงของทรัพยากรที่หาได้ตามธรรมชาติ

  • ต้นทุนที่พุ่งสูงลิ่ว: เมื่อวัตถุดิบถูกผูกขาดหรือจำกัดไว้เฉพาะหน่วยงานรัฐเพื่อใช้ในงานสำคัญเท่านั้น ทำให้ราคาของน้ำมันจันทน์แท้ในตลาดพุ่งสูงจนกลายเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่เข้าถึงได้ยากสำหรับพิธีกรรมระดับรองหรือชาวบ้านทั่วไป

  • การขาดแรงจูงใจในการปลูก: กฎหมายเดิมกำหนดให้ไม้จันทน์ที่ปลูกในที่ดินส่วนตัวยังคงเป็นไม้หวงห้าม ทำให้เกษตรกรขาดแรงจูงใจในการปลูกไม้มีค่าชนิดนี้ เพราะไม่สามารถตัดหรือขายได้อย่างเสรีเมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว ซึ่งขัดขวางการอนุรักษ์ในระยะยาว

  • สู่ยุคใหม่ของ "จันทน์หอม"

    ปัจจุบันนี้ กฎหมายได้มีการปรับปรุงครั้งสำคัญ โดยมีการยกเลิกให้ไม้จันทน์หอมที่ปลูกในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง พ้นจากการเป็นไม้หวงห้าม (ยกเว้นไม้ที่อยู่ในป่าตามธรรมชาติ) ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาปลูกไม้มีค่าชนิดนี้มากขึ้น เพื่อสร้างรายได้และฟื้นฟูทรัพยากร

    "น้ำมันจันทน์" จึงกลับมาเป็นเครื่องหอมแห่งความศักดิ์สิทธิ์ที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่เรื่องราวการเคยเป็น "ไม้หวงห้าม" ก็เป็นเครื่องเตือนใจถึงความล้ำค่า และความจำเป็นในการรักษาสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์ทางวัฒนธรรมกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ไทย