4 เมนู "ปลา" อันตรายเสี่ยงมะเร็ง พ่อค้าแม่ค้าไม่กล้ากิน แต่หลายครอบครัวชอบมาก
4 ประเภทปลาที่เสี่ยงก่อมะเร็งมากที่สุด พ่อค้าแม่ค้าขายเองยังไม่กล้ากิน แต่หลายครอบครัวกลับชอบ
แม้ปลาจะเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูงและไขมันดี แต่หากเลือกหรือปรุงไม่ถูกวิธี ปลาบางชนิดอาจกลายเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะเมื่อรับประทานบ่อยในระยะยาว อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งและปัญหาสุขภาพร้ายแรงอื่น ๆ ได้
1. ปลาน้ำจืดที่กินดิบ
ปลาน้ำจืดเป็นแหล่งโปรตีนยอดนิยม แต่หากรับประทานแบบดิบหรือไม่ผ่านความร้อนเพียงพอ จะเสี่ยงต่อการติดพยาธิใบไม้ตับ แบคทีเรีย หรือปรสิตชนิดอื่น ๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ ท้องเสีย หรือโรคตับอักเสบเรื้อรังที่อาจลุกลามไปถึง มะเร็งท่อน้ำดี ได้

นอกจากนี้ ปลาน้ำจืดบางพื้นที่อาจปนเปื้อนสารโลหะหนักหรือยาปฏิชีวนะจากการเลี้ยง ทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกาย หากต้องการกินปลาน้ำจืด ควรปรุงให้สุกที่อุณหภูมิอย่างน้อย 63 องศาเซลเซียส ตามคำแนะนำของ USDA เพื่อฆ่าเชื้อโรคและปรสิตอย่างปลอดภัย
2. ปลาที่ผ่านการแช่ฟอร์มาลดีไฮด์
ฟอร์มาลดีไฮด์ เป็นสารเคมีอันตรายที่ห้ามใช้ในอาหาร เพราะอาจก่อให้เกิดการอักเสบของกระเพาะอาหารและเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็ง อย่างไรก็ตาม มีผู้ค้าบางรายยังลักลอบใช้เพื่อรักษาความสดของปลา ผู้บริโภคจึงควรระวัง โดยสังเกตได้จากลักษณะของเนื้อปลา — หากกดแล้วนิ่มตามธรรมชาติ ไม่แข็งตึงจนเกินไป และยังคงมีกลิ่นปลาอ่อน ๆ แสดงว่าไม่น่าผ่านการแช่สารเคมี ส่วนปลาที่มีเนื้อซีดหรือสดผิดธรรมชาติควรหลีกเลี่ยง
3. ปลารมควันและปลาเค็ม
แม้จะเป็นอาหารยอดนิยม แต่ปลารมควันและปลาเค็มก็มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเช่นกัน ตามรายงานของ สถาบันวิจัยโรคมะเร็งแห่งสหรัฐฯ การรมควันหรือหมักเค็มทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง เช่น โพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAH) และ ไนโตรซามีน ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับมะเร็งตับและมะเร็งทางเดินอาหาร
นอกจากนี้ ปลารมควันยังอาจปนเปื้อนโลหะหนักอย่างแคดเมียม สารหนู และตะกั่ว ซึ่งจัดเป็นสารก่อมะเร็งต่อมนุษย์ การบริโภคเป็นประจำอาจทำให้ตับและไตทำงานผิดปกติ อีกทั้งปลารมควันและปลาเค็มยังมีโซเดียมสูง ซึ่งอาจเพิ่มความดันโลหิตและเสี่ยงโรคหัวใจได้
4. ปลาที่ผ่านการแปรรูปหรือปรุงสำเร็จ
ปลาบางชนิดที่ผ่านกระบวนการแปรรูป เช่น ปลากระป๋อง ปลาทอดกรอบ หรือปลาชุบแป้งทอด อาจมีการเติมสารกันเสียหรือผงชูรสในปริมาณสูง การรับประทานบ่อยเกินไปจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน เบาหวาน และโรคหัวใจ รวมถึงลดคุณค่าทางโภชนาการของปลาโดยตรง

คำแนะนำในการเลือกและรับประทานปลาอย่างปลอดภัย
- เลือกปลาขนาดเล็ก เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาทู หรือปลากะตัก ซึ่งมีการสะสมโลหะหนักน้อยกว่าปลาขนาดใหญ่
- เลือกปลาที่มีสีธรรมชาติ เนื้อแน่น ไม่มีกลิ่นคาวแรงหรือกลิ่นแอมโมเนีย
- หลีกเลี่ยงปลาที่บรรจุในถุงหรือกระป๋องที่ฉีกขาดหรือรั่ว เพราะอาจปนเปื้อนเชื้อโรคจากอากาศ
- ใช้เขียงและมีดแยกสำหรับปลาโดยเฉพาะ ไม่ให้ปลาดิบสัมผัสกับอาหารที่ปรุงสุกแล้ว
- ปรุงปลาให้สุกดีทุกครั้ง โดยเฉพาะเมนูที่มีปลาน้ำจืด เพื่อหลีกเลี่ยงพยาธิและเชื้อโรค
- หากต้องการประโยชน์ต่อหัวใจ ควรกินปลามันดี เช่น แซลมอน ทูน่า หรือปลาเฮร์ริ่ง สัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง และหลีกเลี่ยงการทอดน้ำมันท่วม
แม้ปลาจะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่การเลือกแหล่งที่มาที่ปลอดภัยและปรุงอย่างถูกวิธี คือสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณได้รับคุณค่าทางอาหารเต็มที่ โดยไม่ต้องเสี่ยงกับสารพิษหรือโรคมะเร็งในอนาคต