6 สัญญาณเตือนขณะ "กำลังกิน" บ่งชี้ "มะเร็ง" มาเยือน ต้องรีบนัดหมอตรวจทันที!

08/11/2025 (14:40 น.)

6 สัญญาณเตือนมะเร็ง หากระหว่างกินอาหารรู้สึกแบบนี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที!

หลายคนมักเพิกเฉยต่อความรู้สึกไม่สบายตัวที่เกิดขึ้นระหว่างมื้ออาหาร โดยคิดว่าเป็นเพียงอาการอาหารไม่ย่อยทั่วไป แต่ในความเป็นจริง ร่างกายมีความซับซ้อน และการเปลี่ยนแปลงความรู้สึกแม้เพียงเล็กน้อยขณะรับประทานอาหาร อาจเป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าจากกระเพาะอาหาร หลอดอาหาร ตับ ตับอ่อน หรือแม้แต่มะเร็งร้ายที่กำลังก่อตัว

บ่อยครั้งที่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างการรับประทานอาหาร กลับกลายเป็นสัญญาณสำคัญที่ช่วยให้ตรวจพบมะเร็งได้ตั้งแต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร

หากอาการเหล่านี้ปรากฏขึ้นและเป็นอย่างต่อเนื่อง คุณไม่ควรลังเลที่จะไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายทันที นี่คือ 6 ความรู้สึกผิดปกติระหว่างมื้ออาหาร ที่อาจเป็นสัญญาณเตือนว่ามะเร็งร้ายได้มาถึงแล้ว

1. กลืนลำบาก หรือรู้สึกเจ็บขณะกลืน

อาการกลืนลำบาก (Nuốt nghẹn) คือความรู้สึกเหมือนอาหารติดคอ หรือเคลื่อนลงได้ยาก ส่วนอาการเจ็บขณะกลืนคือความรู้สึกเจ็บแปลบหรือแสบร้อนบริเวณหน้าอกหรือลำคอ อาการนี้ถือเป็นสัญญาณเตือนภัยอันดับต้นๆ ของมะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งในช่องคอ

อาการกลืนลำบากที่เกิดจากมะเร็งมักจะค่อยๆ พัฒนารุนแรงขึ้น เริ่มแรกอาจกลืนลำบากเฉพาะอาหารแข็งหรือแห้ง ต่อมาจึงเริ่มกลืนอาหารนิ่มและของเหลวได้ลำบาก ซึ่งแตกต่างจากอาการเจ็บคอหรือกรดไหลย้อนทั่วไป ที่มักมีอาการแสบร้อนชัดเจนกว่าและจะดีขึ้นเมื่อใช้ยา

2. ปวดท้อง หรือรู้สึกอึดอัดที่ท้องส่วนบนขณะกิน

ความรู้สึกเจ็บปวด จุกแน่น หรือไม่สบายท้องบริเวณลิ้นปี่ (ท้องส่วนบน) ทันทีที่เริ่มรับประทานอาหาร หรือระหว่างที่กำลังกิน ถือเป็นสัญญาณเตือนที่พบบ่อยในผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหาร เนื่องจากก้อนเนื้องอกถูกกระตุ้นโดยอาหาร หรืออาจเป็นสัญญาณของมะเร็งตับอ่อน ที่อาการปวดจะรุนแรงขึ้นเมื่ออาหารกระตุ้นให้ตับอ่อนทำงาน

หากอาการปวดไม่ทุเลาลงเมื่อใช้ยาลดกรดทั่วไป และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หรืออาจปวดร้าวทะลุไปถึงหลัง (ซึ่งพบบ่อยในมะเร็งตับอ่อน) คุณจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

3. คลื่นไส้ หรืออาเจียนขณะกำลังกิน

ความรู้สึกคลื่นไส้หรืออาเจียนที่เกิดขึ้นทันทีขณะกำลังรับประทานอาหาร หรือแม้แต่เพียงแค่ได้กลิ่นอาหาร อาจมีสาเหตุมาจากมะเร็งกระเพาะอาหาร (ที่ทำให้เกิดการอุดตันหรือรบกวนการบีบตัว) หรือมะเร็งหลอดอาหาร (เนื่องจากการอุดตันของทางเดินอาหารส่วนบน)

อาการคลื่นไส้จากมะเร็งมักเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้สัมพันธ์กับอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง และอาจมีอาการอาเจียนพุ่งร่วมด้วย (หากมะเร็งกระเพาะอาหารทำให้เกิดการอุดตัน) หากคุณต้องหยุดกินกลางคันบ่อยๆ เพราะอาการนี้ ควรนึกถึงความเป็นไปได้ที่จะมีก้อนเนื้องอก

4. รับรู้รสชาติแปลกไป หรือสูญเสียการรับรส

ขณะกำลังรับประทานอาหาร หากคุณรู้สึกว่าอาหารมีรสชาติเหมือนโลหะ รสขมอย่างน่ารำคาญ หรือรู้สึกเหมือนไม่ได้รับรสชาติอะไรเลย นี่อาจไม่ใช่ปัญหาแค่ในช่องปาก อาการนี้พบได้ในผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก มะเร็งลิ้น หรือมะเร็งในช่องคอ ซึ่งก้อนเนื้องอกส่งผลกระทบโดยตรงต่อเส้นประสาทการรับรส

นอกจากนี้ ก้อนเนื้องอกในระบบทางเดินอาหารโดยทั่วไป ยังสามารถกระตุ้นให้ร่างกายผลิตสารเคมีบางชนิดที่ทำให้เกิดรสชาติแปลกๆ ในปากอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแตกต่างจากการสูญเสียการรับรสจากไข้หวัดที่เป็นเพียงชั่วคราว

5. กินเพียงเล็กน้อยก็อิ่ม หรือท้องอืดเร็วผิดปกติ

ความรู้สึกอิ่มเร็วอย่างผิดปกติ ทั้งที่เพิ่งรับประทานอาหารไปเพียงเล็กน้อย เป็นสัญญาณที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ นี่คืออาการคลาสสิกของมะเร็งกระเพาะอาหาร เมื่อก้อนเนื้องอกลุกลามจนลดความสามารถในการขยายตัวของกระเพาะอาหาร

นอกจากนี้ ยังอาจเป็นสัญญาณของมะเร็งตับอ่อน เนื่องจากก้อนเนื้องอกไปกดเบียด หรือทำให้เกิดความผิดปกติในการย่อยอาหารอย่างรุนแรง อาการอิ่มเร็วจากมะเร็งมักมาพร้อมกับอาการร้ายแรงอื่นๆ เช่น น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ และอาการปวดท้องเรื้อรัง

6. เรอ หรือแสบร้อนกลางอกต่อเนื่องขณะกิน

อาการเรอ หรือแสบร้อนกลางอก (กรดไหลย้อน) ที่เกิดขึ้นทันทีระหว่างมื้ออาหาร และไม่ทุเลาลงแม้จะเปลี่ยนท่าทาง เป็นสัญญาณเตือนของมะเร็งกระเพาะอาหาร หรือมะเร็งหลอดอาหาร เนื่องจากก้อนเนื้องอกไปกดเบียดหรือรบกวนการทำงานของกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง ทำให้อาหารค้างและเกิดลม

อาการแสบร้อนกลางอกจากมะเร็ง มักมาพร้อมกับอาการปวดตื้อๆ กลืนลำบาก และน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งแตกต่างจากกรดไหลย้อนทั่วไป ที่มักตอบสนองดีต่อยาลดกรด

หากคุณพบว่าตนเองมีอาการเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกันขณะรับประทานอาหาร และอาการนั้นคงอยู่นานกว่าหนึ่งสัปดาห์โดยไม่ทราบสาเหตุ ขอให้ถือว่าเป็นสัญญาณเตือนที่จริงจัง การไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถช่วยให้ตรวจพบโรคในระยะเริ่มต้น และเพิ่มโอกาสในการรักษาให้ประสบความสำเร็จได้