ไม่ต้องเล่นหุ้น! ย้อนดู “เศรษฐีไทย” ยุคต้นรัตนโกสินทร์ — เขารวยจากอะไร?
ตลาดหุ้นยังไม่เกิด แล้ว “เศรษฐีไทย” ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เขาสร้างพันล้านกันได้ยังไง?
ตลาดหุ้นยังไม่เกิด แล้ว “เศรษฐีไทย” ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เขาสร้างพันล้านกันได้ยังไง? ย้อนไปในยุค ร.1-ร.3 ความมั่งคั่งของประเทศอยู่ในมือ "พระคลังสินค้า" และถูกขับเคลื่อนโดยพ่อค้าเชื้อสายจีนที่อพยพเข้ามา
เส้นทางเศรษฐีสายขุนนางที่รวยจากอำนาจ และจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่สนธิสัญญาเบาว์ริง (ร.4) พาเศรษฐกิจสยามเข้าสู่ยุคทุนนิยมสมัยใหม่ มารู้จักรากฐานทุนไทย ที่สืบสายมาจากเครือข่ายอำนาจในยุคโบราณกัน!
เมื่อพูดถึงคำว่า “เศรษฐีไทย” หลายคนอาจนึกถึงเจ้าสัวตลาดหุ้นหรือกลุ่มทุนระดับพันล้าน แต่หากย้อนกลับไปกว่า 200 ปีก่อน — ในยุคต้นรัตนโกสินทร์ เศรษฐีของสยามมีเส้นทางสร้างความมั่งคั่งที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง ทั้งจากการค้ากับต่างประเทศ ระบบสัมปทานภาษี และอำนาจทางการเมืองที่ผูกพันกับรัฐอย่างแนบแน่น
ยุคแห่งการค้าขายและการผูกขาดของรัฐ
หลังการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ในรัชกาลที่ 1 เศรษฐกิจของสยามยังอยู่ภายใต้ระบบศักดินา โดยรัฐเป็นผู้ควบคุมทรัพยากร แรงงาน และการค้าเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะการค้าต่างประเทศ ซึ่งดำเนินผ่าน “พระคลังสินค้า” หรือ Royal Warehouse ที่ทำหน้าที่ผูกขาดสินค้าส่งออกสำคัญ เช่น ข้าว น้ำตาล และไม้สัก
การค้ากับต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน เป็นช่องทางหลักในการสร้างความมั่งคั่งให้กับราชสำนักและกลุ่มพ่อค้าชาวจีนโพ้นทะเลที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในสยามช่วงรัชกาลที่ 1–3 (ข้อมูลจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)
เศรษฐีเชื้อสายจีน: ผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้า
ในยุคนั้น ชาวจีนมีบทบาทสำคัญในกิจการค้าภายในและต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าส่งออกหลักของสยาม เช่น ข้าวและดีบุก ซึ่งสร้างรายได้จำนวนมากให้แก่รัฐและเอกชน นักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ อานันท์ กาญจนพันธุ์ (2552) อธิบายว่า การค้ากับจีนในสมัยต้นรัตนโกสินทร์เป็นฐานสำคัญให้ชาวจีนบางกลุ่มสะสมทุน จนกลายเป็นผู้รับสัมปทานภาษีหรือ “เจ้าภาษีนายอากร” ในเวลาต่อมา
ระบบ “เจ้าภาษีนายอากร” เป็นรูปแบบการเก็บภาษีที่รัฐมอบสิทธิ์ให้เอกชน โดยเฉพาะพ่อค้าชาวจีน ประมูลสิทธิ์เก็บภาษีแทนรัฐในกิจการต่าง ๆ เช่น โรงเหล้า โรงอิฐ โรงสี หรือสินค้าการเกษตร รายได้จากระบบอากรคิดเป็นสัดส่วนใหญ่ของงบประมาณแผ่นดินในสมัยนั้น สะท้อนให้เห็นอิทธิพลของกลุ่มเศรษฐีอากรในโครงสร้างเศรษฐกิจต้นกรุง
เศรษฐีไทยสายขุนนาง: รวยจากอำนาจและทรัพยากร
นอกจากพ่อค้าชาวจีนแล้ว กลุ่มขุนนางและเจ้านายชั้นสูงก็ถือเป็น “เศรษฐี” อีกประเภทหนึ่ง พวกเขามั่งคั่งจากการถือครองที่ดิน การใช้แรงงานไพร่ และการมีส่วนในผลประโยชน์จากการค้าโดยอาศัยตำแหน่งทางราชการเป็นเครื่องมือสะสมทุน
นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้อธิบายไว้ใน การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีและต้นรัตนโกสินทร์ ว่า ระบบเศรษฐกิจในยุคนั้นผูกพันกับอำนาจรัฐโดยตรง ใครอยู่ใกล้อำนาจมาก ย่อมมีโอกาสรวยมาก
สนธิสัญญาเบาว์ริง: จุดเปลี่ยนสู่ทุนสมัยใหม่
ปี พ.ศ. 2398 (รัชกาลที่ 4) เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจไทย เมื่อสยามลงนามใน “สนธิสัญญาเบาว์ริง” กับอังกฤษ ซึ่งเปิดเสรีทางการค้าระหว่างประเทศเป็นครั้งแรก การผูกขาดของพระคลังสินค้าถูกยกเลิก ทำให้พ่อค้าสามัญสามารถส่งออกสินค้าได้โดยตรงโดยไม่ผ่านรัฐ
นักเศรษฐศาสตร์การเมือง ชัยอนันต์ สมุทวณิช (2521) วิเคราะห์ว่า สนธิสัญญาฉบับนี้เป็น “ประตูสู่ทุนนิยมไทย” เพราะเปิดโอกาสให้พ่อค้าชาวจีนรุ่นใหม่ก่อตั้งโรงสี โรงน้ำตาล และกิจการนำเข้า–ส่งออก ซึ่งกลายเป็นรากฐานของภาคธุรกิจเอกชนไทยในยุครัชกาลที่ 5
จากเจ้าภาษีสู่นักธุรกิจ: มรดกของเศรษฐีต้นรัตนโกสินทร์
กล่าวได้ว่า เศรษฐีไทยยุคต้นรัตนโกสินทร์ร่ำรวยจาก “อำนาจและโอกาส” มากกว่าการลงทุนเชิงเทคโนโลยี แต่พวกเขาคือผู้วางรากฐานของระบบทุนไทยยุคใหม่ จาก “เจ้าภาษีนายอากร” สู่ “นักธุรกิจเอกชน” ที่ขยายกิจการต่อเนื่องในช่วงรัชกาลที่ 5–6
ธงชัย วินิจจะกูล (2563) อธิบายไว้ใน ความเป็นไทยหลังอาณานิคม ว่า ทุนไทยจำนวนมากสืบสายจากเครือข่ายเศรษฐกิจและการอุปถัมภ์ในราชสำนักยุคต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งกลายเป็นโครงสร้างของทุนและชนชั้นนำในสังคมไทยปัจจุบัน
สรุป: เศรษฐีไทยยุคต้นกรุง รวยจากรัฐและโอกาส
เศรษฐีในยุคต้นรัตนโกสินทร์ไม่ได้รวยจากการเก็งกำไรหรือการลงทุนแบบตลาดทุน แต่รวยจาก “การผูกขาด การค้า และอำนาจรัฐ” พวกเขาคือผู้บุกเบิกทุนไทยยุคแรก ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นรากฐานของกลุ่มทุนใหญ่ในสังคมไทยจนถึงปัจจุบัน
- สงครามเกาหลี ทหารไทยสละชีพ 129 นาย แต่มี "ร่างเดียว" ได้ฝังสุสาน UN ปูซาน เขาคือใคร?
- เปิดคำที่สะกดด้วย "ฃ." ก่อนเลิกใช้ ไม่ใช่แค่ ฃำ-เฃียน-ฃยัน มีคำที่เราใช้พูดกันทุกวันด้วย!

อ้างอิง