แม่เอา "อั่งเปา" ยัดปากลูกชาย ก่อนลงมือสังหาร เปิดเหตุผลที่ศาลยังสะเทือนใจ
แม่เอาเงินยัดปากลูกชาย ก่อนลงมือสังหารดับคาเตียง เปิดเหตุผลที่ศาลยังสะเทือนใจ ผู้พิพากษายื่นเรื่องให้อภัยโทษ
เรื่องราวสะเทือนใจจากกรุงไทเป ไต้หวัน เมื่อหญิงชราวัย 80 ปี ตัดสินใจจบชีวิตลูกชายวัย 50 ปี ที่ป่วยเป็นอัมพาตและสมองพิการมาตั้งแต่กำเนิด หลังดูแลมาอย่างยาวนานถึงครึ่งศตวรรษ คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 2 ปี 6 เดือน แต่ด้วยความเห็นใจในชะตากรรม ผู้พิพากษาจึงได้ทำเรื่องเสนอให้ประธานาธิบดีพิจารณา "อภัยโทษ" เป็นกรณีพิเศษ
คำพิพากษาที่เปื้อนคราบน้ำตา
ซูเหวินเว่ย คณบดีคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยครูแห่งชาติไต้หวัน (NTNU) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เรียกร้องให้สังคมและประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ พิจารณาอภัยโทษตามคำแนะนำของศาล โดยระบุว่าคำพิพากษานี้เปรียบเสมือน "หยดน้ำตาอุ่นๆ บนตัวบทกฎหมายที่เย็นชา"
คดีนี้คณะผู้พิพากษาต้องเผชิญกับความลำบากใจอย่างยิ่งในการตัดสิน แม้การกระทำจะผิดกฎหมาย แต่จำเลยได้โทรแจ้งตำรวจและรอมอบตัวทันที อีกทั้งไม่มีประวัติอาชญากรรม และญาติทุกคนต่างให้อภัยและเข้าใจถึงความทุกข์ทรมานที่เธอแบกรับมาตลอด 50 ปี ศาลจึงตัดสินโทษสถานเบาและเสนอขออภัยโทษ เพื่อหาทางออกที่ "สมเหตุสมผล ถูกต้องตามกฎหมาย และสอดคล้องกับมนุษยธรรม"
เบื้องหลังโศกนาฏกรรม: ความรักและความสิ้นหวัง
ย้อนกลับไปดูที่มาของเหตุการณ์ นางหลิว (นามสมมุติ) อาศัยอยู่กับลูกชายและผู้ดูแลชาวต่างชาติ ลูกชายของเธอป่วยหนักจากผลข้างเคียงของวัคซีนตั้งแต่เด็ก ทำให้เป็นอัมพาตและสมองพิการ ต้องนอนติดเตียงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มานานกว่า 50 ปี โดยมีแม่เป็นผู้ดูแลหลักมาตลอด จนกระทั่งสังขารเริ่มโรยราจึงได้จ้างผู้ดูแลมาช่วย
จุดแตกหักเกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน 2023 เมื่อนางหลิวติดเชื้อโควิด-19 และต้องแยกกักตัว ความเครียดสะสมเริ่มก่อตัวเมื่อเธอกลับบ้านมาพบว่าลูกชายก็ติดเชื้อเช่นกัน อาการไข้ขึ้นสูงและความเจ็บปวดของลูก ทำให้เธอเกิดความคิดว่า หากเธอเป็นอะไรไปก่อน ลูกชายจะกลายเป็นภาระหนักอึ้งของญาติพี่น้อง

วาระสุดท้ายด้วย "อั่งเปา" และหยดน้ำตา
ด้วยความรักและความกังวล นางหลิวตัดสินใจที่จะพาลูกชายเดินทางไกลไปด้วยกัน ในวันที่ 12 พฤษภาคม 2023 อาศัยจังหวะที่ผู้ดูแลไปทำธุระส่วนตัว เธอเข้าไปในห้องลูกชาย ล็อกประตู และนำ "อั่งเปา 10,000 ดอลลาร์ไต้หวัน" ยัดใส่ปากลูกชาย เพื่อเป็นการอวยพรให้เขาเดินทางสู่ภพภูมิที่ดี
จากนั้นเธอใช้ผ้าปิดปากและจมูก พันทับด้วยเทปกาวจนลูกชายเสียชีวิต ก่อนจะนั่งรออยู่อย่างนั้นจนผู้ดูแลมาพบและแจ้งญาติ เมื่อตำรวจมาถึง เธอยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหาด้วยความจำนนต่อหลักฐานและความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
บทเรียนสะท้อนสังคมผู้สูงอายุ
อาจารย์ซูเหวินเว่ย ชี้ให้เห็นว่าคดีนี้ไม่ใช่เพียงคดีฆาตกรรมทั่วไป แต่มันคือเสียงกรีดร้องที่เงียบงันของครอบครัวที่ต้องแบกรับภาระการดูแลผู้ป่วยติดเตียงยาวนาน จนเกินขีดจำกัดของมนุษย์คนหนึ่ง เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่รัฐต้องสร้าง "ตาข่ายรองรับทางสังคม" เพื่อโอบอุ้มผู้ดูแลที่กำลังสิ้นหวัง ไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ซ้ำอีก