เนื้อหาในหมวด ข่าว

ผู้ที่มักปวด 4 จุดนี้ ระวัง! มะเร็งและหลอดเลือดสมอง \

ผู้ที่มักปวด 4 จุดนี้ ระวัง! มะเร็งและหลอดเลือดสมอง "รออยู่" ไม่ใช่แค่ปวดศีรษะ

อาการปวด 4 จุด เสี่ยงมะเร็งและโรคหลอดเลือดสมอง ที่ไม่ควรมองข้าม

หลายคนอาจคิดว่าอาการปวดเล็กๆ น้อยๆ เป็นเพียงเรื่องชั่วคราว แต่ในบางกรณีอาจเป็นสัญญาณเตือนโรคร้ายได้ โดยเฉพาะอาการปวด 4 จุดที่อาจ “เสี่ยงมะเร็ง” และโรคหลอดเลือดสมอง หากร่างกายเริ่มมีอาการปวดผิดปกติ ซ้ำๆ หรือปวดโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่ควรมองข้ามหรือทนอยู่เฉยๆ เพราะร่างกายกำลังใช้ “ความเจ็บปวด” เป็นภาษาส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้าให้เราใส่ใจสุขภาพมากขึ้น

โดยธรรมชาติแล้ว ร่างกายจะพยายามบอกความผิดปกติผ่านอาการต่างๆ เช่น ปวด แน่น ชา หรืออ่อนแรงในบางจุด หากจู่ๆ คุณมีอาการปวดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ปวดนานผิดปกติ หรือปวดรบกวนการใช้ชีวิต ควรรับฟังสัญญาณเหล่านี้ให้ดี เพราะอาการปวดในตำแหน่งเฉพาะบางจุด อาจเกี่ยวข้องกับภาวะเสี่ยงมะเร็ง หรือโรคหลอดเลือดสมองที่ต้องรีบตรวจหาสาเหตุ

4 ตำแหน่งอาการปวดที่อาจเตือนมะเร็งและโรคหลอดเลือดสมอง

1. ปวดศีรษะรุนแรงหรือเรื้อรัง

อาการปวดศีรษะเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน แต่อาการปวดศีรษะที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ปวดแบบเรื้อรัง หรือปวดจนตื่นกลางดึก อาจไม่ได้เกิดจากความเครียดหรือพักผ่อนไม่พอเท่านั้น แต่อาจเป็นสัญญาณของเนื้องอกในสมองได้ เมื่อก้อนเนื้องอกโตขึ้นจะกดทับเส้นประสาทและเนื้อเยื่อรอบๆ ทำให้ปวดศีรษะตุบๆ ปวดจี๊ด หรือปวดเป็นพักๆ และมักไม่ตอบสนองต่อยาแก้ปวดทั่วไป

ในบางกรณี โรคหลอดเลือดสมอง โดยเฉพาะภาวะหลอดเลือดสมองอุดตันหรือแตก ก็อาจเริ่มต้นด้วยอาการปวดศีรษะรุนแรงทันทีแบบผิดปกติ อาการนี้มักมาพร้อมกับตาพร่า พูดไม่ชัด ปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง หรือถึงขั้นหมดสติ หากมีอาการลักษณะนี้ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด เพราะทุกนาทีคือความเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายของสมองอย่างถาวร

2. ปวดท้องผิดปกติ เรื้อรัง หรือมีอาการร่วมอื่น

อาการปวดท้องเป็นได้ตั้งแต่จากปัญหาเล็กน้อยอย่างอาหารไม่ย่อย ไปจนถึงโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งและโรคตับแข็ง โดยเฉพาะหากมีอาการปวดท้องแบบหน่วงๆ เรื้อรัง ร่วมกับแน่นท้อง ท้องอืด แสบร้อนกลางอก เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจเป็นสัญญาณของมะเร็งกระเพาะอาหาร ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียด

มะเร็งตับอ่อนก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่อาจแสดงตัวด้วยอาการปวดท้องเช่นกัน เนื่องจากก้อนเนื้องอกอาจกดทับอวัยวะหรือเส้นประสาทใกล้เคียง ผู้ป่วยบางคนอาจปวดท้องระดับเบาถึงปานกลาง แต่อีกกลุ่มหนึ่งอาจมีอาการปวดรุนแรง โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารไขมันสูงหรือนอนราบนานๆ นอกจากนี้ โรคตับแข็งก็อาจทำให้มีอาการปวดแน่นบริเวณท้องด้านขวาหรือใต้ชายโครงขวา ซึ่งมักเป็นอาการที่เกิดขึ้นซ้ำๆ และยาวนาน

3. ปวดหลังเรื้อรัง แม้พักผ่อนแล้วยังไม่ดีขึ้น

อาการปวดหลังเป็นปัญหาคุ้นเคย โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานออฟฟิศที่ต้องนั่งนานๆ อย่างไรก็ตาม หากปวดหลังต่อเนื่องเป็นเวลานาน ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ดีขึ้นแม้พักผ่อน เปลี่ยนท่านั่ง หรือรักษาด้วยวิธีทั่วไป อาจเป็นสัญญาณเตือนของมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งตับอ่อน มะเร็งปอดที่ลุกลาม หรือมะเร็งกระดูกสันหลังที่ไปกดทับเส้นประสาท

เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้นและใกล้บริเวณกระดูกสันหลัง มักทำให้เกิดอาการปวดหลังร้าวลงสะโพก ต้นขา หรือขา ผู้ป่วยบางรายอาจเริ่มมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ชา หรือเดินลำบาก หากปล่อยทิ้งไว้อาจลุกลามจนเกิดอัมพาตครึ่งตัวได้ ดังนั้น อาการปวดหลังที่ไม่หายสักที หรือปวดแบบผิดปกติ จึงไม่ควรมองแค่ว่าเป็นเพียงออฟฟิศซินโดรม

4. ปวดบริเวณชายโครงขวา หรือใต้ลิ้นปี่ด้านขวา

บริเวณชายโครงขวาเป็นพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับตับ ถุงน้ำดี และส่วนหนึ่งของตับอ่อน ดังนั้นหากมีอาการปวดแน่น หนักๆ เสียว หรือเจ็บแปลบๆ ซ้ำๆ ในบริเวณนี้ โดยเฉพาะตอนกลางคืนหรือหลังรับประทานอาหารไขมันสูง อาจเป็นสัญญาณเตือนปัญหาเกี่ยวกับตับ มะเร็งตับ มะเร็งถุงน้ำดี หรือมะเร็งตับอ่อนบางชนิดได้

สาเหตุหนึ่งมาจากก้อนเนื้องอกที่โตขึ้นแล้วกดทับโครงสร้างหรือเส้นประสาทบริเวณใกล้เคียง ทำให้เกิดอาการปวดแบบเรื้อรังหรือปวดเป็นพักๆ หากมีอาการปวดร่วมกับตาเหลือง ตัวเหลือง ท้องโตผิดปกติ น้ำหนักลด หรือเบื่ออาหาร ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินการทำงานของตับและตรวจคัดกรองมะเร็งอย่างละเอียด

เมื่อไหร่ควรไปตรวจร่างกายหรือพบแพทย์?

โดยทั่วไป หากมีอาการปวดในจุดใดจุดหนึ่งของร่างกายเพียงชั่วคราวแล้วหายไปเอง อาจไม่ใช่เรื่องน่ากังวลมากนัก แต่หากเป็นอาการปวดที่กลับมาเป็นซ้ำๆ ปวดต่อเนื่องนานหลายสัปดาห์ ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ทราบสาเหตุชัดเจน ควรเข้ารับการตรวจร่างกายโดยแพทย์ ไม่ควรวินิจฉัยโรคเองหรือพึ่งเพียงยาแก้ปวด โดยเฉพาะอาการปวดที่มาพร้อมสัญญาณอันตราย เช่น น้ำหนักลด อ่อนเพลียมาก ตาพร่า พูดไม่ชัด หรือแขนขาอ่อนแรง

การไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ตรวจหาสาเหตุได้แม่นยำขึ้น และเพิ่มโอกาสในการรักษาหรือควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น มะเร็งลุกลามหรือโรคหลอดเลือดสมองที่ทำให้สมองเสียหายถาวร อย่าลืมว่าอาการปวด 4 จุดที่อาจเสี่ยงมะเร็งและโรคหลอดเลือดสมองเหล่านี้ เป็นสัญญาณเตือนให้เราหันกลับมาดูแลตัวเอง และไม่มองข้ามภาษาที่ร่างกายกำลังพยายามสื่อสารกับเรา