"เด็กหน้าผากกว้างจะฉลาด" เรื่องจริงหรือแค่ความเชื่อ? วิทยาศาสตร์เผยคำตอบ
ความเชื่อ “เด็กหน้าผากกว้างจะฉลาด” เรื่องจริงหรือแค่ความเชื่อ? คำตอบจากวิทยาศาสตร์อาจทำให้แปลกใจ!
หลายคนคงเคยได้ยินคำพูดโบราณว่า “หน้าผากกว้างทำราชการดี” หรือ “หน้าผากเต็มคือคนฉลาด” แต่ในมุมของวิทยาศาสตร์แล้ว ความกว้างของหน้าผากกับระดับสติปัญญา (IQ) มีความสัมพันธ์กันจริงหรือไม่?
หน้าผากกว้างเกี่ยวข้องกับความฉลาดจริงหรือ?
ตามหลักโหงวเฮ้ง คนหน้าผากกว้างมักถูกมองว่า “รับแสงได้ดี มีปัญญาและมองการณ์ไกล” จึงมักประสบความสำเร็จในชีวิต แต่เมื่อมองในเชิงวิทยาศาสตร์ ด้านหลังของหน้าผากคือ สมองส่วนหน้าผาก (prefrontal cortex) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการตัดสินใจ การคิดเชิงตรรกะ และการควบคุมอารมณ์ งานวิจัยชี้ว่าผู้ที่มีสมองส่วนนี้หนาและมีปริมาตรมาก มักมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์และควบคุมตนเองได้ดีกว่า

อย่างไรก็ตาม ความกว้างของหน้าผากภายนอกไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้โดยตรงถึงขนาดหรือประสิทธิภาพของสมองส่วนนี้ ดังนั้น “หน้าผากใหญ่ = ฉลาด” จึงไม่ใช่ข้อสรุปที่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์
ทำไมบางคนหน้าผากแคบ?
ลักษณะหน้าผากของเด็กอาจได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย เช่น กรรมพันธุ์ การได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอในครรภ์ หรือแรงกดขณะคลอด และท่านอนหลังคลอด ข้อมูลทางพันธุกรรมยังบ่งชี้ว่า “หน้าผากกว้าง” เป็นลักษณะของยีนเด่น ส่วน “หน้าผากแคบ” เป็นยีนด้อย
หากพ่อแม่ทั้งคู่หน้าผากแคบ ลูกก็มักจะมีหน้าผากแคบเช่นกัน แต่หากลูกหน้าผากแคบ ก็ไม่ได้แปลว่าพ่อแม่ต้องเหมือนกันเสมอไป ทั้งนี้ หากต้องการปรับรูปทรงศีรษะของทารก ควรทำในช่วงอายุ 4–6 เดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ศีรษะยังสามารถเปลี่ยนรูปได้ง่าย เพียงเปลี่ยนท่านอนเป็นประจำก็ช่วยได้มาก

อะไรคือปัจจัยที่มีผลต่อ IQ จริง ๆ ?
1. กรรมพันธุ์
งานวิจัยพบว่าพันธุกรรมมีอิทธิพลต่อ IQ ราว 50–60% เด็กที่พ่อแม่ฉลาดมักมีแนวโน้มฉลาดตาม โดยเฉพาะยีนที่เกี่ยวข้องกับสติปัญญามักอยู่บนโครโมโซม X ซึ่งหมายความว่า “แม่” มีอิทธิพลต่อ IQ ของลูกมากกว่าพ่อ
2. โภชนาการ
สารอาหารคือหัวใจสำคัญในการพัฒนาสมอง โดยเฉพาะช่วงตั้งครรภ์และ 3 ปีแรกของชีวิต ซึ่งเป็น “ช่วงทองของสมอง” เนื่องจากกว่า 90% ของโครงสร้างสมองจะพัฒนาเสร็จก่อนอายุ 2 ปี
คุณแม่ควรรับประทานอาหารครบหมู่ระหว่างตั้งครรภ์ และหลังคลอดควรให้ลูกดื่มนมแม่ เพราะมีสารอาหารสำคัญที่ช่วยสร้างเยื่อไมอีลิน (myelin) ซึ่งเป็นตัวเร่งการสื่อสารของระบบประสาท ส่งผลต่อความจำและการเรียนรู้ของเด็กโดยตรง
เมื่อเด็กอายุ 5–6 เดือน ควรเริ่มอาหารเสริมที่มีโปรตีนและสารอาหารหลากหลาย เพื่อช่วยพัฒนาสมองและป้องกันการขาดสารอาหารที่อาจกระทบต่อ IQ
3. การเรียนรู้และฝึกฝน
คำกล่าวว่า “อัจฉริยะเกิดจากแรงบันดาลใจ 1% และความพยายาม 99%” ยังคงใช้ได้เสมอ เด็กที่ขยันและมีแรงจูงใจในการเรียนรู้จะสามารถพัฒนาศักยภาพทางสมองได้ดีกว่าคนที่มีพรสวรรค์แต่ไม่พยายาม สมองยิ่งถูกใช้งานก็ยิ่งแกร่งขึ้น
4. สิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดู
บรรยากาศในครอบครัวและวิธีเลี้ยงดูของพ่อแม่มีอิทธิพลต่อ IQ และ EQ ของเด็กอย่างมาก บ้านที่อบอุ่นและไม่กดดันช่วยให้เด็กเติบโตอย่างมั่นคงทางอารมณ์และเรียนรู้ได้ดี ในทางกลับกัน หากเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียดหรือมีความกลัวเป็นประจำ อาจส่งผลให้พัฒนาการด้านสมองช้าลงและขาดความมั่นใจในตนเอง
สรุป:
ขนาดหน้าผากไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความฉลาดของเด็ก แต่ “การเลี้ยงดู โภชนาการ และสิ่งแวดล้อม” ต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญ เด็กทุกคนสามารถพัฒนา IQ ได้ หากได้รับโอกาสในการเรียนรู้และการสนับสนุนที่เหมาะสมจากครอบครัว