เนื้อหาในหมวด ข่าว

รู้จัก ไวรัสตับอักเสบอี โรคที่ \

รู้จัก ไวรัสตับอักเสบอี โรคที่ "ต้าเหนิง" ป่วยหนัก อันตรายใกล้ตัวมากับน้ำและอาหาร

รู้จัก "ไวรัสตับอักเสบอี" อันตรายใกล้ตัวที่มากับน้ำและอาหาร

นักแสดงและนางแบบสาว ต้าเหนิง กัญญาวีร์ ได้ออกมาอัปเดตอาการสุขภาพของตนเอง หลังจากที่ต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่จนถึงขั้นต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนานหลายวัน เธอตรวจพบว่าตนเองเป็นโรค ไวรัสตับอักเสบอี ทำให้ต้องพักงานและถอนตัวจากการถ่ายทำซีรีส์อย่างกะทันหัน

เริ่มต้นจากอาการปวดที่ไม่ธรรมดา

ต้าเหนิง เล่าว่า อาการแรกที่เธอรู้สึกคือ การเป็นไข้ หนาวสั่น และมีเหงื่อออก ซึ่งทำให้เธอเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงไข้ทับระดู จึงตัดสินใจไปโรงพยาบาลเพื่อฉีดยาระงับอาการปวดด้วยมอร์ฟีน แต่หลังจากกลับไปทำงาน อาการปวดกลับยิ่งแย่ลงอย่างต่อเนื่องจนผิดปกติ แพทย์จึงแนะนำให้เธอแอดมิทในโรงพยาบาล พร้อมทั้งทำการสแกนทั้งตัว การเจาะเลือด และฉีดสีเพื่อหาสาเหตุของอาการป่วย

ผลการตรวจพบความผิดปกติหลายอย่าง ทั้งภาวะตับโตและถุงน้ำดีบวมอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังพบว่ามีน้ำในปอดทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยง่ายและหมดแรง แม้จะทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงแรกของการประเมินเบื้องต้น แพทย์สงสัยว่าอาจเป็นไวรัสตับอักเสบ แต่ยังไม่สามารถระบุชนิดของไวรัสได้แน่ชัด

ในช่วงสัปดาห์แรกที่รักษาตัว ต้าเหนิง ต้องเผชิญกับช่วงเวลาวิกฤต เธอต้องเจาะเลือดหลายครั้ง รับการรักษาด้วยยาหลายชนิด นอกจากนี้ เธอยังต้องรับยาระงับปวดและยาแก้ปวดอาเจียนทุก 4 ชั่วโมง โดยไม่สามารถทานอาหารได้ตามปกติ เนื่องจากมีอาการอาเจียนอยู่ตลอดเวลา โดยก่อนหน้านี้ เธอเคยเสี่ยงเป็นโรค SLE (โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง) ซึ่งอาจมีผลให้ภูมิร่างกายตกและเกิดโรคตับอักเสบนี้ได้

การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบอี

ผลการตรวจพบว่า ค่าตับของต้าเหนิงพุ่งสูงมากถึง 1,300-1,400 ซึ่งถือเป็นค่าที่วิกฤต เพราะค่าตับในคนทั่วไปปกติจะไม่เกินหลักสิบ แม้จะโชคดีที่เธอยังไม่มีอาการตาเหลืองหรือตัวเหลือง แต่การฟื้นตัวเป็นไปอย่างยากลำบาก ในสัปดาห์ที่สองหลังจากการตรวจเลือดและวินิจฉัยอย่างละเอียด แพทย์จึงพบสาเหตุที่แท้จริงคือโรค ไวรัสตับอักเสบอี

โชคดีที่ไวรัสตับอักเสบอีชนิดนี้เป็นประเภทที่สามารถหายได้เอง แต่ต้องใช้เวลารักษานานถึง 3 เดือนเต็ม โดยแพทย์ระบุว่าสาเหตุของโรคนี้มาจากการรับประทานอาหารที่ไม่สะอาด และเธอยังเคยมีความเสี่ยงเป็นโรค SLE (โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง) ซึ่งอาจส่งผลให้ภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำลง และกระตุ้นให้เกิดภาวะตับอักเสบนี้ได้ นอกเหนือจากปัญหาที่ตับ เธอยังพบว่าปอดมีปัญหาและตรวจพบซีสต์ ซึ่งแพทย์แนะนำให้รักษาภาวะตับอักเสบให้หายดีเสียก่อน ปัจจุบัน ต้าเหนิง ยังคงต้องไปตรวจเลือดเพื่อติดตามอาการทุกเดือน

ไวรัสตับอักเสบอี คืออะไร? 

ไวรัสตับอักเสบอี คือโรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารที่เกิดจากเชื้อไวรัส (HEV) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะตับอักเสบแบบเฉียบพลันในผู้ป่วยส่วนใหญ่ โดยปกติแล้วโรคนี้มักจะหายได้เอง (Self-limiting) ภายในระยะเวลา 2–6 สัปดาห์ ในคนที่มีสุขภาพดี แต่อาจนำไปสู่ภาวะตับวายเฉียบพลันและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ในกลุ่มเสี่ยงบางกลุ่ม

การติดเชื้อส่วนใหญ่คล้ายกับไวรัสตับอักเสบเอ คือ ติดต่อผ่านทางอุจจาระสู่ปาก (Fecal-Oral Route) หมายถึงเชื้อไวรัสปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกายผ่านการรับประทานอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ โดยเฉพาะการดื่มน้ำที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อหรือต้มให้เดือด อาหารปนเปื้อน เช่น ผัก/ผลไม้สดที่ล้างไม่สะอาด อาหารทะเล หรือเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก ตลอดจนสุขอนามัยส่วนบุคคลที่ไม่ดี เช่น การไม่ล้างมืออย่างถูกวิธีหลังเข้าห้องน้ำ

อาการสำคัญและกลุ่มเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง

ผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการ หรือมีเพียงอาการเล็กน้อยคล้ายไข้หวัด แต่หากอาการชัดเจน มักเป็นสัญญาณของการอักเสบของตับ ได้แก่ อ่อนเพลีย, เบื่ออาหาร, คลื่นไส้/อาเจียน, ปวดเมื่อยตามตัว หรือมีไข้ต่ำๆ อาการที่เด่นชัดคือ ตัวเหลือง/ตาเหลือง (ดีซ่าน), ปัสสาวะสีเข้ม (คล้ายน้ำชาแก่ๆ) และอุจจาระสีซีด

แม้โรคส่วนใหญ่จะหายได้เอง แต่ความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายจะเพิ่มขึ้นมากในกลุ่มนี้:

  • หญิงตั้งครรภ์: โดยเฉพาะในไตรมาสที่สาม มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะตับวายเฉียบพลัน
  • ผู้ที่มีโรคตับเรื้อรังอยู่แล้ว: เช่น ผู้ที่เป็นโรคตับแข็ง
  • ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง: เช่น ผู้ที่เคยได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ

สรุปแนวทางการป้องกันไวรัสตับอักเสบอีที่ดีที่สุด

เนื่องจากวัคซีนป้องกัน ไวรัสตับอักเสบอี ยังไม่แพร่หลายในประเทศไทย การป้องกันที่ดีที่สุดคือการให้ความสำคัญกับสุขอนามัยส่วนบุคคลและอาหารอย่างเคร่งครัด ควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำ และก่อนเตรียมอาหารหรือรับประทานอาหาร

นอกจากนี้ ต้องมั่นใจว่าดื่มเฉพาะน้ำที่ต้มเดือดแล้ว หรือน้ำดื่มบรรจุขวดที่ได้มาตรฐาน และรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ โดยเฉพาะเนื้อหมูและอาหารทะเลจำพวกหอย หากมีอาการสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการคล้ายไวรัสตับอักเสบอี โดยเฉพาะถ้ามีอาการตัวเหลืองตาเหลือง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสมทันที

\

"ต้าเหนิง" อัปเดตหลังป่วยวิกฤต แชร์ประสบการณ์ตรวจพบไวรัสตับอักเสบอี

ต้าเหนิง เล่าประสบการณ์ป่วยวิกฤต พบไวรัสตับอักเสบอี จนต้องถอนตัวจากซีรีส์เพื่อรักษาตัวอย่างเต็มที่