ถึงเวลารักษาตับ "หยุดกิน" ผัก-ผลไม้ 5 ชนิดนี้ แม้คุ้นเคย แต่อันตรายอย่างยิ่ง!
ถึงเวลาช่วยตับตัวเอง หยุดกิน 5 ผัก–ผลไม้ อาหารคุ้นเคยที่ทำร้ายตับไม่แพ้เหล้าเบียร์!
ตับถูกขนานนามว่าเป็น “โรงงานกรองพิษ” ที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย คอยเผาผลาญและกำจัดสารพิษทุกวัน หลายคนรู้ดีว่าแอลกอฮอล์และยาบางชนิดทำร้ายตับ แต่ไม่ค่อยมีใครรู้ว่า ผักและหัวอาหารบางอย่างที่เรากินเป็นประจำ หากเลือกหรือปรุงผิดวิธี ก็สามารถสร้างภาระหนักให้ตับ และเพิ่มความเสี่ยงโรคตับรวมถึงมะเร็งตับได้เช่นกัน
1. มะเขือเทศเขียว มะเขือเทศยังไม่สุกเต็มที่
มะเขือเทศที่ยังไม่สุกเต็มที่ (ยังเป็นสีเขียวหรือออกดิบ) มีสารอัลคาลอยด์ตามธรรมชาติในปริมาณสูง โดยเฉพาะ “โซลานีน” (solanine) ซึ่งเป็นสารพิษที่ทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษเฉียบพลัน เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หรือท้องเสีย และยังเพิ่มภาระให้ตับต้องเร่งกำจัดสารพิษชนิดนี้ออกจากร่างกาย
หากร่างกายได้รับโซลานีนบ่อยๆ ตับต้องทำงานหนักซ้ำๆ เพื่อสลายและกำจัดสารพิษออกไป ในระยะยาวอาจส่งผลให้เซลล์ตับอ่อนล้า เสื่อม หรือทำงานผิดปกติได้ การเลือกกินมะเขือเทศที่สุกแดงเต็มที่จึงปลอดภัยกว่า
2. ผัก–ผลไม้ หรือหัวอาหารที่มีเชื้อรา
ไม่ว่าผัก หัวอาหาร หรือผลไม้ชนิดใด หากพบเชื้อราเกิดขึ้น ควรทิ้งทันทีไม่ควรเลือกกินต่อไป เชื้อราสามารถสร้างสารพิษไมโคท็อกซิน (mycotoxin) หนึ่งในนั้นคือ “อะฟลาท็อกซิน” (aflatoxin) ซึ่งถูกจัดให้เป็นสารก่อมะเร็งร้ายแรง โดยเฉพาะมะเร็งตับ
อะฟลาท็อกซินทนความร้อนได้สูง แม้ผ่านการปรุงสุกด้วยอุณหภูมิสูงก็ไม่สลายไป เมื่อเข้าสู่ร่างกาย สารพิษจะโจมตีเซลล์ตับโดยตรง ทำลายสารพันธุกรรม (DNA) และเพิ่มความเสี่ยงตับวายเฉียบพลันหรือมะเร็งตับ การตัดส่วนที่ขึ้นราออกไม่เพียงพอ เพราะสารพิษกระจายลึกเข้าไปในเนื้ออาหารแล้ว
3. ถั่วงอกไม่มีราก ผลิตเร็วด้วยสารเร่ง
ถั่วงอกไม่มีรากที่ลำต้นอวบอ้วน สีขาวจัดสวยมักเกิดจากการใช้สารเร่งหรือฮอร์โมนในกระบวนการเพาะให้งอกเร็วและโตไว สารเคมีเหล่านี้ถูกถั่วงอกดูดซึมและกลายเป็นสารแปลกปลอม (xenobiotics) เมื่อเข้าสู่ร่างกายมนุษย์
หน้าที่ของตับคือเปลี่ยนแปลงและกำจัดสารแปลกปลอมเหล่านี้ออกไป การได้รับสารเคมีตกค้างปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง อาจทำให้เซลล์ตับถูกทำร้ายสะสม เพิ่มโอกาสการเกิดเซลล์ผิดปกติหรือโรคตับในระยะยาว การเลือกถั่วงอกที่มีรากธรรมชาติ หรือทำเองโดยระวังความสะอาดจึงปลอดภัยกว่า
4. พืชตระกูลถั่วที่ปรุงไม่สุก
พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วแดง ถั่วแขก ถั่วไต หรือถั่วบางชนิด เมื่อยังดิบหรือสุกไม่ทั่ว มีสารต้านโภชนาการและสารพิษ เช่น เลคติน (lectin) และ phytohemagglutinin สารเหล่านี้ทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ กระเพาะและลำไส้ระคายเคือง และตับต้องช่วยจัดการก่อนที่ร่างกายจะกำจัดออกได้
โดยเฉพาะถั่วแดงหรือถั่วไตที่ยังไม่สุกดี อาจมีซาโปนินและเลคตินในระดับที่เป็นอันตรายต่อเซลล์ตับ การต้มให้สุกทั่วถึง ใช้เวลาและอุณหภูมิที่เพียงพอ จึงจำเป็นเพื่อทำให้โปรตีนพิษสลายและลดผลกระทบต่อระบบย่อยอาหารและตับ
5. มันฝรั่งเขียวหรือมีหน่อ
มันฝรั่งที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวหรือมีหน่องอก เป็นสัญญาณว่ามีการสะสมของโซลานีน (solanine) และชาโคนีน (chaconine) ซึ่งเป็นไกลโคอัลคาลอยด์ที่เป็นพิษต่อร่างกาย แม้กลไกนี้เป็นการป้องกันตัวเองของพืช แต่สำหรับมนุษย์แล้วกลับเป็นสารพิษที่ทำให้ตับต้องทำงานหนัก
แม้ปริมาณเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ หรืออาการพิษอื่นๆ และบังคับให้ตับเร่งการขับพิษอย่างหนัก มันฝรั่งที่เริ่มเขียวหรือมีหน่อจึงไม่ควรกิน แม้จะปอกเปลือกหรือเฉือนส่วนเขียวและหน่อออกก็ไม่ช่วย เพราะสารพิษมักกระจายไปทั่วหัวแล้ว
- คนจีนเรียกว่า "ผักจักรพรรดิ" ปรากฏว่าไทยมีในสารพัดเมนู แต่หลายคนปฏิเสธที่จะกิน
- เผยเมล็ดพืช “เล็กแต่ทรงพลัง” ดีท็อกซ์ตับจากธรรมชาติ ไทยหากินง่าย มีขายทุกตลาด!
ดูแลตับให้ดี เริ่มได้จาก “จานอาหาร” ทุกวัน
นอกจากการหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และการใช้ยาด้วยความระมัดระวังแล้ว การเลือกวัตถุดิบให้เหมาะสม ปรุงสุก ปลอดเชื้อรา และเลี่ยงอาหารที่มีสารพิษธรรมชาติสูง ก็เป็นอีกก้าวสำคัญในการปกป้องตับ ไม่ว่าจะเป็นมะเขือเทศเขียว ผักหรือหัวอาหารขึ้นรา ถั่วงอกไม่ราก ถั่วสุกไม่ทั่ว หรือมันฝรั่งที่เริ่มเขียว ล้วนควรระวังให้มาก
การใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ ในทุกมื้ออาหารวันนี้ อาจช่วยลดความเสี่ยงโรคตับและมะเร็งตับในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ
