"ฉินฮุ่ยและเมีย" รูปปั้นที่คนจีนเกลียดที่สุดในประวัติศาสตร์ โดนตบ-ถุยน้ำลายใส่มานานกว่า 500 ปี
ฉินฮุ่ย (Qin Hui) คือชื่อที่ยังคงกระจายตัวอยู่ในความทรงจำของคนจีนหลายชั่วคน
คำว่า ฉินฮุ่ย กลายเป็นสัญลักษณ์ของการทรยศและความอยุติธรรมที่ถูกลงโทษโดยประชาชน เรื่องราวของเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่ในบันทึกทางการ แต่ปรากฏเป็นพิธีกรรม ประเพณี และแม้กระทั่งอาหารเช้าของคนจีน เช่น อิ่วจาก้วย (ปาท่องโก๋)
ฉินฮุ่ยคือใคร? และบริบททางการเมืองในสมัยซ่ง
ฉินฮุ่ย เป็นขุนนางผู้มีบทบาทสำคัญในราชสำนักซ่งใต้ เขาดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี มีหน้าที่ด้านการทูตและนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะการเจรจากับราชวงศ์จิน ทว่าชื่อเสียงของเขาถูกกลบด้วยคดีการใส่ร้าย เย่ว์เฟย (Yue Fei) แม่ทัพผู้เป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์และความกล้าหาญในการปกป้องแผ่นดิน

คำว่า “莫须有” กับการประหาร เย่ว์เฟย
ข้อกล่าวหาต่อ เย่ว์เฟย ที่มีคำอ้างแบบคลุมเครือถูกสรุปด้วยวลี 莫须有 ซึ่งแปลได้โดยรวมว่า “ไม่ต้องมีหลักฐานก็ได้” การอ้างนี้ถูกใช้เป็นเหตุผลให้ เย่ว์เฟย ถูกจับและถูกประหารในคุก เหตุการณ์ดังกล่าวถูกจารึกในความทรงจำของประชาชนว่าเป็นการทำลายวีรบุรุษโดยอาศัยอำนาจทางราชสำนัก
รูปปั้นคุกเข่าในหางโจว: มรดกแห่งการประจาน
ที่ศาลบูชาและสุสานของ เย่ว์เฟย ในเมืองหางโจว มีรูปปั้น ฉินฮุ่ยและภรรยา ที่ถูกจัดวางให้อยู่ในท่าคุกเข่า ก้มหน้า มือผูกด้านหลัง และหันหน้าเข้าหาหลุมศพของ เย่ว์เฟย นับตั้งแต่ปรากฏรูปปั้นชุดแรกในปลายศตวรรษที่ 15 รูปปั้นทั้งสองกลายเป็นวัตถุที่ประชาชนใช้ในการระบายความโกรธต่อการชี้นำอำนาจที่ไม่เป็นธรรม

การกระทำของประชาชนต่อรูปปั้น: จากพิธีกรรมสู่การลงโทษ
ผู้คนที่มาเยือนมักมีการแสดงความไม่พอใจต่อรูปปั้นด้วยการตบ เตะ ถ่มน้ำลาย หรือนำสิ่งของขว้างปา บางบันทึกและบรรยายจากคนที่มาเยือนระบุว่าในบางวัน จำนวนผู้มาส่งเสียงโกรธอาจมีเป็นร้อยหรือเป็นพัน ความรุนแรงทางกายต่อรูปปั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนรูปปั้นชำรุดและต้องถูกเปลี่ยนมาแล้วหลายครั้ง มีการบันทึกว่าถูกเปลี่ยนซ่อมไปแล้ว 11 ชุด ชุดปัจจุบันติดตั้งในปี 1979

อิ่วจาก้วย/ปาท่องโก๋: ขนมเช้ากับสัญลักษณ์การประณาม
หนึ่งในปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่สะท้อนความเกลียดชังต่อฉินฮุ่ยคือความผูกโยงกับขนมทอดที่เรียกว่า อิ่วจาก้วย (油条) หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อ ปาท่องโก๋
ตำนานท้องถิ่นเล่าว่า รูปทรงของอิ่วจาก้วยซึ่งเป็นแป้งสองเส้นประกบกันและทอดในน้ำมันเดือด มีการตีความเชิงสัญลักษณ์ว่าเป็นการสื่อถึงคู่สามีภรรยาผู้ทรยศ บางพื้นที่ถึงกับมีนิทานพื้นบ้านว่าอาหารชนิดนี้ถูกคิดขึ้นเพื่อเป็นการเย้ยหยันหรือทำลายชื่อเสียงของคู่ทรยศจนกลายเป็นอาหารที่ประชาชนรับประทานในชีวิตประจำวัน

วัฒนธรรมการระบายความโกรธ: จากถนนสู่ละครพื้นบ้าน
นอกจากการปฏิบัติต่อรูปปั้นแล้ว ความโกรธต่อ ฉินฮุ่ย ยังถูกสะท้อนผ่านศิลปะพื้นบ้าน ละครเวที นิทาน และคำพูดติดปากที่สอนเด็กๆให้รู้จักคุณค่าของความซื่อสัตย์ ในหลายชุมชนมีเรื่องเล่าและนิทานเวอร์ชันต่างๆ ที่บอกเล่าเหตุการณ์โดยเน้นการตัดสินทางศีลธรรม ทำให้การจารึกความโกรธนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของอดีต แต่ถูกหล่อหลอมเป็นบทเรียนทางสังคม
มุมมองนักประวัติศาสตร์: คำอธิบายที่ซับซ้อนขึ้น
นักประวัติศาสตร์ร่วมสมัยพยายามวิเคราะห์ฉากการเมืองของสมัยซ่งอย่างละเอียดมากขึ้น บางสายเสนอว่าการกระทำของ ฉินฮุ่ย อาจมีแรงจูงใจทางการทูตและความเห็นต่างด้านนโยบาย ซึ่งในบริบทการคุกคามจากราชวงศ์เหนือ การประนีประนอมบางรูปแบบถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่อาจลดความสูญเสียของรัฐได้ แต่ทฤษฎีเช่นนี้ยังไม่สามารถชดเชยความรู้สึกโกรธแค้นสาธารณะและการประณามที่ติดตามมาหลายศตวรรษ

การท่องเที่ยวและพิธีกรรมร่วมสมัย
ปัจจุบัน สถานที่ตั้งรูปปั้น ฉินฮุ่ย กลายเป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ผู้มาเยือนบางคนปฏิบัติตามประเพณีดั้งเดิมเพื่อแสดงความเห็นใจต่อ เย่ว์เฟย ขณะที่นักท่องเที่ยวสมัยใหม่บางส่วนมาเพื่อศึกษาและถ่ายรูป นโยบายของสถานที่มีความพยายามจัดการให้เกิดความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว และการป้องกันการทำลายรูปปั้นซ้ำซาก
บทเรียนเชิงจริยธรรมและการเมือง
เรื่องราวของ ฉินฮุ่ย ชี้ให้เห็นว่าการใช้อำนาจโดยปราศจากความยุติธรรมสามารถสร้างบาดแผลทางสังคมได้ยาวนาน เมื่อสังคมเลือกที่จะจารึกความอยุติธรรมไว้เป็นนิทานสอนใจ ผลสะท้อนเหล่านั้นอาจกลายเป็นแรงกระตุ้นให้ชุมชนปกป้องค่านิยมความซื่อสัตย์และความกล้าหาญ

ฉินฮุ่ย ในศตวรรษที่ 21
แม้บริบททางการเมืองและสังคมจะเปลี่ยนไป แต่ภาพจำของ ฉินฮุ่ย ยังคงสดใหม่ในความทรงจำของคนจีน รูปปั้นคุกเข่าที่ยังตั้งอยู่เป็นสัญลักษณ์เตือนใจว่า การคุ้มครองความยุติธรรมและการตรวจสอบอำนาจเป็นหน้าที่ของสังคม หากมองอย่างกลางๆ นักวิชาการอาจเชิญชวนให้พิจารณาความซับซ้อนของเหตุการณ์ แต่สาธารณะยังคงยึดมั่นในการให้คุณค่ากับวีรบุรุษอย่าง เย่ว์เฟย
บทสรุป
ฉินฮุ่ย คือชื่อที่สื่อถึงการทรยศ การใช้อำนาจในทางที่ผิด และบทลงโทษที่ถูกถ่ายทอดผ่านวัฒนธรรมรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่รูปปั้นคุกเข่าในหางโจวไปจนถึงอาหารเช้าอย่างอิ่วจาก้วย (ปาท่องโก๋) ที่ถูกเล่าขานให้เห็นเป็นสัญลักษณ์ของคู่ทรยศ เรื่องราวนี้เป็นบทเรียนว่าประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมสามารถผูกโยงกันอย่างลึกซึ้งเพื่อเตือนใจคนรุ่นหลังให้รักษาความยุติธรรมและศีลธรรม