"โซนไข่แดง" คือเขตไหนบ้างใน กทม.ปลอดภัยจาก "น้ำท่วม" โอกาสท่วมยากมาก
เปิดข้อมูล GISTDA กางแผนที่ 5 โซน ‘เสี่ยงต่ำ’ ใน กทม. น้ำท่วมยาก-ระบายไว (อัปเดต 2568)
สถานการณ์น้ำท่วมปี 2568 ยังคงเป็นเรื่องที่ชาวกรุงเทพฯ ต้องเกาะติดแบบรายวัน ล่าสุด GISTDA (สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ) ได้เปิดเผยข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม (อัปเดต 12-17 พฤศจิกายน 2568) พบว่าแม้ภาพรวมประเทศไทยจะมีพื้นที่น้ำท่วมขังกว่า 3.14 ล้านไร่ แต่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) สถานการณ์ยังถือว่ารุนแรงน้อยกว่าปี 2554 ถึง 86% โดยผลกระทบหลักยังคงกระจุกตัวอยู่เพียงพื้นที่ริมน้ำและนอกคันกั้นน้ำ
ทำความเข้าใจ "โซนไข่แดง" ในมุมมอง GISTDA
แม้ GISTDA จะไม่ได้ระบุคำว่า "โซนไข่แดง" หรือพื้นที่ปลอดภัย 100% ไว้อย่างเป็นทางการ เพราะทุกพื้นที่ใน กทม. ล้วนมีความเสี่ยงเกิดภาวะ "น้ำรอระบาย" หากเจอฝนถล่มหนักเกิน 100 มม./ชั่วโมง หรือน้ำทะเลหนุนสูง แต่จากการวิเคราะห์ด้วยระบบดาวเทียม Sentinel-1 และแบบจำลองภูมิประเทศ เราสามารถจำแนก "โซนเสี่ยงต่ำ" (Low Risk) หรือพื้นที่สีเขียว ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญที่ได้รับการจัดการเป็นพิเศษ ทำให้โอกาสน้ำท่วมขังยาวนานมีน้อยที่สุด ปัจจัยที่ทำให้โซนเหล่านี้เป็นพื้นที่เสี่ยงต่ำ ได้แก่: อุโมงค์ระบายน้ำยักษ์: ศักยภาพของอุโมงค์มักกะสันและบางซื่อ ที่ช่วยสูบน้ำลงแม่น้ำเจ้าพระยาได้ทันที ระดับพื้นที่สูง: พื้นที่เฉลี่ยสูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง (MSL) 0.5-1 เมตร แนวคันกั้นน้ำพระราชดำริ: มีความแข็งแรงทนทานต่อระดับน้ำทะเลหนุนสูงสุด 0.8 เมตร ในปีนี้

เปิดพิกัด 5 เขต "โซนเสี่ยงต่ำ" ระบายไวที่สุด (อัปเดต พ.ย. 2568)
จากการประมวลผลข้อมูลล่าสุด เขตเหล่านี้จัดอยู่ในเกณฑ์ที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยส่วนใหญ่ระดับน้ำท่วมขังเป็นศูนย์ หรือหากมีฝนตกหนักก็จะระบายแห้งได้ภายในเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง:
1. เขตพญาไท
พื้นที่นี้ถือเป็น "ที่ดอนธรรมชาติ" (สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1-2 เมตร) และเป็นที่ตั้งของสถานที่ราชการสำคัญ ทำให้มีระบบสถานีสูบน้ำพิเศษ จากข้อมูลวันที่ 17 พ.ย. 2568 ระดับน้ำท่วมขังในพื้นที่นี้อยู่ที่ 0-5 ซม. (แห้งสนิท) แทบไม่ได้รับผลกระทบจากมวลน้ำเหนือ
2. เขตราชเทวี
ได้รับอานิสงส์เต็มๆ จาก อุโมงค์ระบายน้ำมักกะสัน ทำให้สามารถระบายน้ำลงบึงมักกะสันและออกสู่แม่น้ำได้อย่างรวดเร็ว ภาพถ่ายดาวเทียมไม่พบรายงานน้ำท่วมขังในพื้นที่หลัก โดยระดับน้ำรอระบายอยู่ที่ 0-5 ซม. และใช้เวลาระบายไม่ถึง 1 ชั่วโมง
3. เขตปทุมวัน (สยาม, จุฬาฯ)
แม้จะเป็นพื้นที่ CBD ที่มีการสูบน้ำสูงสุด แต่ด้วยปริมาณฝนสะสมเดือน พ.ย. ที่สูงถึง 111 มม. อาจทำให้เกิดน้ำรอระบายชั่วคราวประมาณ 5-15 ซม. ในช่วงฝนตกหนัก แต่ GISTDA ยืนยันว่าระบบระบายน้ำในย่านนี้ทำงานได้เร็วที่สุด โดยน้ำจะแห้งกลับสู่ภาวะปกติภายใน 1-2 ชั่วโมง
4. เขตสาทร และ บางรัก
โซนเศรษฐกิจริมน้ำที่หลายคนกังวล แต่ปีนี้ระบบป้องกันยังทำงานได้ดีเยี่ยม ด้วยท่อระบายน้ำขนาดใหญ่และแนวคันกั้นน้ำที่แข็งแรง ซึ่งสามารถรับมือกับน้ำทะเลหนุนสูง 0.8 เมตรได้ ข้อมูลล่าสุดพบน้ำท่วมขังเพียง 0-10 ซม. เฉพาะจุดริมน้ำบางแห่งเท่านั้น ไม่กระทบพื้นที่เศรษฐกิจชั้นใน
5. เขตทุ่งครุ และ ราษฎร์บูรณะ (ฝั่งธนฯ)
ถือเป็นม้ามืดของปีนี้ เพราะระบบจัดการน้ำผ่าน คลองลัดโพธิ์ และประตูระบายน้ำทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้อยู่นอกพื้นที่สีฟ้า (พื้นที่น้ำท่วมจริง) จากภาพดาวเทียม ระดับน้ำขังเฉลี่ยเพียง 0-5 ซม. และไม่ขังนาน
โซนสีแดงและสีส้มที่ต้องเฝ้าระวังพิเศษ
GISTDA แจ้งเตือนพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง (High Risk) ซึ่งอาจเจอน้ำท่วมล้น 20-50 ซม. หากการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาเกิน 2,800 ลบ.ม./วินาที ได้แก่: พื้นที่นอกคันกั้นน้ำริมเจ้าพระยา: เขตดุสิต, พระนคร (บางจุด), ยานนาวา, บางกอกน้อย, และบางพลัด โซนรับน้ำฝั่งตะวันออก: ลาดกระบัง, มีนบุรี, หนองจอก และบางนา (ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ อาจเจอน้ำขังเรื้อรังสีดำในบางจุด)
สรุป: คนกรุงต้องเตรียมตัวอย่างไร?
แม้คุณจะอาศัยอยู่ใน โซนเสี่ยงต่ำ อย่างพญาไทหรือราชเทวี ก็ไม่ควรประมาท เพราะสภาพอากาศปี 2568 มีความแปรปรวนสูง แนะนำให้ตรวจสอบสถานการณ์น้ำแบบเรียลไทม์ผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของ GISTDA ทุกวันก่อนเดินทาง ส่วนใครที่อยู่ในโซนริมน้ำและฝั่งตะวันออก การยกของขึ้นที่สูงและเตรียมพร้อมรับมือยังเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด