โศกนาฏกรรม "ลูกไอน์สไตน์" ที่ประวัติศาสตร์ไม่ค่อยพูดถึง คนหนึ่งหายตัว อีกคนคลุ้มคลั่ง?!
โศกนาฏกรรมชีวิตลูกๆ "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" เมื่อการมีพ่อเป็นอัจฉริยะกลับกลายเป็นบาดแผล
เรื่องจริงครอบครัวไอน์สไตน์ ชีวิตลูกทั้ง 3 คนที่ประวัติศาสตร์ไม่ค่อยพูดถึง... เด็กหญิงที่หายไป ลูกชายคนหนึ่งป่วยจิตเวช อีกคนรู้สึกถูกทอดทิ้ง : อัจฉริยะ, ความคาดหวัง และชะตากรรมที่แตกสลาย
เมื่อพูดถึงชื่อ “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” หลายคนจะนึกถึงอัจฉริยะฟิสิกส์ผู้เขย่าโลกวิทยาศาสตร์ แต่หากถามว่าเขาเป็น “พ่อที่ดี” หรือไม่นั้น คำตอบกลับไม่ชัดเจนและยังเป็นประเด็นถกเถียงมาจนถึงทุกวันนี้ โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับลูกๆ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ทั้งการหายตัวไปของลูกสาวคนแรก และชีวิตอันแสนเจ็บปวดของลูกชายทั้งสอง สะท้อนให้เห็น “ด้านมืด” ของการเติบโตใต้เงาอัจฉริยะระดับโลกอย่างเข้มข้น
ครอบครัวของอัจฉริยะฟิสิกส์ และภรรยาผู้เปี่ยมพรสวรรค์
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ แต่งงานสองครั้งตลอดชีวิต แต่มีลูกเพียงสามคนกับภรรยาคนแรกคือ มิเลวา มาริค นักศึกษาหญิงเพียงคนเดียวในชั้นเรียนฟิสิกส์ที่สถาบันโพลีเทคนิคแห่งซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทั้งสองได้พบและเรียนรู้เคียงข้างกัน มิเลวาเป็นผู้หญิงที่เฉลียวฉลาด มีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ไม่น้อยไปกว่าสามีของเธอ แต่ในหน้าประวัติศาสตร์ ชื่อของเธอมักถูกกลบด้วยแสงเจิดจ้าของอัจฉริยะนาม “ไอน์สไตน์”
ชีวิตคู่ของทั้งสองเต็มไปด้วยแรงกดดัน ทั้งจากเส้นทางวิชาการ การเงิน และความแตกต่างด้านบุคลิกภาพ เมื่อเวลาผ่านไป ความตึงเครียดในชีวิตสมรสเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจของลูกทั้งสามคนของพวกเขาในเวลาต่อมา
ลูกสามคนของไอน์สไตน์: เด็กหญิงที่หายไป และลูกชายสองคนที่ต้องแบกรับความคาดหวัง
ลูกคนแรกของไอน์สไตน์เกิดในปี พ.ศ. 2445 (ค.ศ. 1902) เป็นเด็กหญิงชื่อ “ลีเซิร์ล ไอน์สไตน์” แต่ประวัติของเธอกลับเลือนหายจากหน้ากระดาษประวัติศาสตร์อย่างน่าพิศวง หลักฐานจากจดหมายและงานวิจัยในภายหลังบ่งชี้ว่าลีเซิร์ลอาจถูกยกให้ผู้อื่นรับไปเลี้ยง หรือเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสองขวบจากโรคระบาดในยุคนั้น นักประวัติศาสตร์จึงสรุปได้เพียงว่า เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ “หายไป” จากโลกโดยแทบไม่เหลือร่องรอยใดๆ ไว้เลย
หลังจากนั้น ไอน์สไตน์และมิเลวาจึงได้ต้อนรับลูกชายอีกสองคนเข้าสู่ครอบครัว ได้แก่ ฮันส์ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (เกิดปี 1904) และ เอดูอาร์ด ไอน์สไตน์ (เกิดปี 1910) ทั้งสองเติบโตขึ้นมาท่ามกลางเงาของพ่อผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับต้องใช้ชีวิตอย่างเครียดกดดันและเต็มไปด้วยบาดแผลทางอารมณ์ จนกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ผู้คนยังกล่าวถึงมาจนถึงปัจจุบัน
สรุปภาพรวมลูกทั้งสามของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
"ฮันส์ อัลเบิร์ต" เด็กที่ถูกไอน์สไตน์ “ทอดทิ้ง” สร้างชื่อในแบบของตัวเอง แต่ไม่เคยได้รับการยอมรับจากพ่อ
เมื่ออายุได้ราว 10 ขวบ ฮันส์ อัลเบิร์ตต้องเห็นพ่อแม่แยกทางกัน เหตุการณ์นี้ทิ้งรอยแผลลึกในใจ เขามักใช้เวลานานอยู่ที่โรงเรียน เป็นวิธีหลบหนีจากบรรยากาศตึงเครียดในครอบครัว ภายหลังเขาเดินตามรอยพ่อแม่ด้วยการสอบเข้าเรียนที่สถาบันโพลีเทคนิคซูริก และสำเร็จการศึกษาด้วยเกียรตินิยมในสาขาวิศวกรรมโยธา
หลังเรียนจบ ฮันส์ทำงานเป็นวิศวกรเกี่ยวกับโครงสร้างเหล็กและสะพาน ก่อนจะหันมาทำงานด้านวิศวกรรมชลศาสตร์ เขามีผลงานสำคัญด้านการไหลของตะกอนในแม่น้ำและลำน้ำ จนในเวลาต่อมา สมาคมวิศวกรโยธาแห่งอเมริกา (ASCE) ถึงกับตั้ง “รางวัล Hans Albert Einstein Award” เพื่อยกย่องผลงานของเขา เขายังได้รับทุนกุกเกนไฮม์และรางวัลจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ อีกหลายครั้ง แสดงให้เห็นว่าในแวดวงของเขาเอง ฮันส์คือผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้า
อย่างไรก็ตาม เส้นทางที่ฮันส์เลือกกลับไม่เคยเป็นที่ถูกใจของพ่อผู้เป็นตำนาน ฟิสิกส์ระดับโลกอย่างไอน์สไตน์มองอาชีพวิศวกรของลูกชายว่า “ไม่น่าดึงดูด” เมื่อฮันส์แต่งงานกับผู้หญิงที่อายุมากกว่าและมีความพิการแต่กำเนิด ไอน์สไตน์ก็ยิ่งแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง เพราะกังวลเรื่อง “พันธุกรรม” ของหลานในอนาคต บทสนทนาและจดหมายหลายฉบับสะท้อนว่าเขาไม่อาจยอมรับการตัดสินใจส่วนตัวของลูกชายได้ง่ายๆ
แม้ในช่วงท้าย ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะดีขึ้น ฮันส์เริ่มกลับมาปรึกษาพ่อเรื่องอาชีพและชีวิตมากขึ้น แต่ความรู้สึก “ไม่เคยได้รับการยอมรับ” ก็ยังคงหลอกหลอนเขา ในบทสัมภาษณ์หนึ่ง ฮันส์เคยกล่าวอย่างเจ็บปวดว่า เขาอาจเป็น “โครงการเดียวที่พ่อของเขาล้มเหลวและละทิ้งไป” สะท้อนช่องว่างทางใจระหว่างพ่ออัจฉริยะกับลูกชายที่พยายามดิ้นรนพิสูจน์ตัวเองตลอดชีวิต

"เอดูอาร์ด ไอน์สไตน์" ลูกชายผู้ฉลาดลึกซึ้งและมีพรสวรรค์ แต่จบชีวิตในโรงพยาบาลจิตเวช
ต่างจากพี่ชายที่หันไปทางวิศวกรรม เอดูอาร์ด ไอน์สไตน์ ลูกชายคนเล็ก เติบโตมาพร้อมความสามารถทางดนตรี ความสนใจในบทกวี และความหลงใหลในจิตเวชศาสตร์ เขาเริ่มเรียนแพทย์และตั้งใจจะเป็นจิตแพทย์ในอนาคต ไอน์สไตน์เองก็วางความคาดหวังไว้อย่างสูง หวังว่าเอดูอาร์ดจะเป็นผู้สืบสานชื่อเสียงของครอบครัวในอีกแขนงหนึ่งของศาสตร์
ทว่าความจริงกลับโหดร้ายกว่านั้นมาก ในช่วงวัยยี่สิบต้นๆ เอดูอาร์ดเริ่มมีอาการป่วยทางจิตอย่างรุนแรง มีประวัติพยายามฆ่าตัวตาย และท้ายที่สุดก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น “โรคจิตเภท” เขาต้องพักการเรียนและเข้าออกโรงพยาบาลจิตเวชหลายครั้ง โดยเฉพาะที่โรงพยาบาลจิตเวชเบิร์กเฮิลซลีในซูริก ซึ่งกลายเป็นสถานที่ที่เขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในเวลาต่อมา
ตลอดหลายสิบปี มิเลวา มาริค คือคนที่ดูแลเอดูอาร์ดอย่างใกล้ชิด เธอทั้งรับภาระดูแลลูกชายและจัดการค่าใช้จ่ายสูงลิ่วจากการรักษา จนถึงขั้นต้องขายบ้านเพื่อหาเงินมาจ่ายค่ารักษา ไอน์สไตน์แม้จะช่วยส่งเงินจากระยะไกล แต่ด้วยระยะทางและสถานการณ์ทางการเมือง เขาไม่สามารถอยู่กับลูกชายได้เหมือนเดิม เมื่อเขาต้องอพยพไปยังสหรัฐอเมริกา เอดูอาร์ดยังคงต้องอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ และหลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้พบกันอีกเลย
ในช่วงบั้นปลายชีวิต เอดูอาร์ดใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในโรงพยาบาลจิตเวช ก่อนจะเสียชีวิตในวัยราว 55 ปี นักประวัติศาสตร์ด้านครอบครัวไอน์สไตน์เชื่อว่าการรักษาทางจิตเวชในยุคนั้น เช่น การช็อกไฟฟ้าหรือวิธีการที่รุนแรงอื่นๆ อาจยิ่งทำให้อาการของเขาทรุดลงมากกว่าดีขึ้น เอดูอาร์ดเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อในน้ำเสียงปนขมขื่นว่า การมีพ่อเป็นอัจฉริยะ “ไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย” ในการใช้ชีวิตจริง

สัญญาการแต่งงานที่เย็นชา และ “ราคาที่ครอบครัวต้องจ่าย”
หนึ่งในหลักฐานที่มักถูกยกมาพูดถึงเมื่อถกเถียงกันว่าไอน์สไตน์เป็นพ่อและสามีแบบไหน คือ “สัญญาชีวิตคู่” ที่เขาร่างขึ้นกับมิเลวาในช่วงที่ความสัมพันธ์กำลังพังทลาย เอกสารฉบับนี้เต็มไปด้วยเงื่อนไขด้านระเบียบและระยะห่างทางอารมณ์ เช่น ให้ภรรยาต้องดูแลเสื้อผ้าและบ้านให้เรียบร้อย ห้ามเรียกร้องให้สามีใช้เวลาร่วมกัน ไม่คาดหวังความใกล้ชิด และต้องหยุดพูดเมื่อเขาบอกให้หยุด แม้เธอจะยอมรับเงื่อนไขเหล่านี้อย่างไม่เต็มใจ แต่ในที่สุดชีวิตสมรสก็ยังไปไม่รอด
วอลเตอร์ ไอแซคสัน นักเขียนชีวประวัติชื่อดัง เล่าว่า ไอน์สไตน์เป็นคนที่ “ตัดสิ่งรบกวนออกจากชีวิต” ได้อย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะสิ่งใดก็ตามที่ขัดขวางงานวิทยาศาสตร์ของเขา ซึ่งรวมถึงครอบครัวและลูกๆ ด้วย เขาอาจยังรักลูกในแบบของเขาเอง แต่อันดับแรกในชีวิตของเขาแทบจะเป็นงานวิจัยและการแสวงหาความจริงทางวิทยาศาสตร์เสมอ
เมื่อมองจากมุมนี้ โศกนาฏกรรมของลูกๆ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของโรคจิตเภทหรือการแต่งงานที่ล้มเหลวเท่านั้น แต่ยังสะท้อน “ราคาของความเป็นอัจฉริยะ” ที่คนรอบตัวต้องร่วมจ่าย ทั้งในรูปของความเหงา การถูกเปรียบเทียบอย่างไม่สิ้นสุด และความรู้สึกว่า “ไม่เคยถูกเลือกเป็นอันดับหนึ่ง” ในหัวใจของพ่อ
เมื่อความอัจฉริยะทิ้งเงามืดไว้ในหัวใจของลูก
หากมองย้อนกลับไป โศกนาฏกรรมชีวิตของลูกๆ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ทำให้เราเห็นว่าการมีพ่อเป็นอัจฉริยะระดับโลกไม่ได้แปลว่าจะได้เติบโตในครอบครัวที่อบอุ่นเสมอไป ทั้งลีเซิร์ลที่หายตัวไปจากประวัติศาสตร์ ฮันส์ อัลเบิร์ตที่รู้สึกว่าตนเองเป็น “โครงการล้มเหลว” ของพ่อ และเอดูอาร์ดที่ต้องจากไปในโรงพยาบาลจิตเวช ล้วนเป็นบทสะท้อนด้านเปราะบางของครอบครัวอัจฉริยะที่โลกภายนอกไม่ค่อยได้เห็น
โศกนาฏกรรมของลูกๆ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จึงชวนให้ตั้งคำถามว่า ความสำเร็จระดับโลกจะมีความหมายเพียงใด หากแลกมาด้วยบาดแผลในหัวใจของคนที่เรารักมากที่สุด บางทีเรื่องราวของครอบครัวไอน์สไตน์อาจเป็นเครื่องเตือนใจว่า ความอัจฉริยะอาจยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ แต่ความอบอุ่นและการอยู่เคียงข้างกันในครอบครัว คือสิ่งที่มนุษย์ตัวเล็กๆ ทุกคนต้องการไม่แพ้กัน
- โศกนาฏกรรม นักจิตวิทยาทดลอง "เลี้ยงลูกคู่กับลิง" เผยบั้นปลายชีวิต จบไม่สวยทั้งคน-สัตว์
- สลด ลูกชายนักวิชาการดัง ดิ่งตึกชั้น 17 เปิดกระเป๋านักเรียนดู พ่อทรุดลงหน้า "กองกระดาษ"
