"กูต้องตายเพราะอยากมีเมียแหม่ม" : คดีและวาทะของ "พระปรีชากลการ" ผู้รับโทษประหารชีวิต
คำกล่าวที่ว่า “กูต้องตายเพราะอยากมีเมียแหม่ม” มักถูกอ้างว่าเป็นวาทะสุดท้ายของ พระปรีชากลการ (สำอาง อมาตยกุล)
โดย พระปรีชากลการ คือเจ้าเมืองปราจีนบุรีและผู้ดูแลบ่อทองกบินทร์บุรี ถูกประหารชีวิตในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2422 โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยบันทึกไว้ทำนองนี้ ขณะที่หลักฐานในหนังสือ ประวัติการและความทรงจำของรองอำมาตย์โท หลวงบำรุงรัฐนิการ (บุศย์ อเนกบุณย์) ระบุถ้อยคำสุดท้ายของพระปรีชากลการในความหมายคล้ายกันว่า
“โบสถ์สร้างขึ้นยังไม่ทันแล้ว เพราะได้เมียฝรั่งตัวจึงตายแดดร้อนอย่างนี้ เราจะไปอยู่ที่หลังคาแดงโน้น”
คดีของพระปรีชากลการเป็นหนึ่งในคดีประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนและยังถูกถกเถียงถึงวันนี้ ส่วนหนึ่งเพราะเกี่ยวพันกับการเมืองในราชสำนักสมัยรัชกาลที่ 5
เดิมทีพระปรีชาฯ เป็นข้าราชการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรด แต่เรื่องเริ่มซับซ้อนขึ้นเมื่อเขาตกหลุมรักและแต่งงานกับ แฟนนี่ น็อกซ์ บุตรสาวของกงสุลอังกฤษ ซึ่งมีความใกล้ชิดกับวังหน้า และฝ่ายกงสุลเองก็เคยวิจารณ์วังหลวงผ่านสื่อจนเกิดบรรยากาศตึงเครียดทางการเมือง

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการดำเนินคดี
คดีพระปรีชาฯ มีหลายประเด็น แต่แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่
1) เรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระราชอำนาจและกฎหมาย
-
การพาแฟนนี่นั่งเรือยอชต์ไปงานฉลองที่บางปะอินและพักค้างบนเรือลำเดียวกัน
-
การสมรสกับหญิงต่างชาติ โดยไม่ขอพระบรมราชานุญาต ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นการละเมิดพระราชประเพณีอย่างสำคัญ
2) ข้อกล่าวหาด้านราชการและทุจริต
-
การบริหารบ่อทองมีความผิดปกติ พระปรีชาฯ เบิกเงินล่วงหน้า 15,500 ชั่ง แต่ผลิตทองได้ไม่ถึงเป้า
-
ข้อสงสัยเรื่องทองสูญหายและโยงถึงพระยากษาปณกิจโกศล บิดาของพระปรีชาฯ
-
การใช้อำนาจเกินขอบเขต เช่น ทรมาน “นายเกิด” เสมียนของตนจนเสียชีวิต การยึดที่ดินชาวบ้าน และปล่อยโจรผู้ร้าย
ใน ประวัติการจอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ยังบันทึกว่า พระปรีชาฯ ใช้งานคนอย่างโหดร้าย เช่นบังคับให้ดำน้ำถอนตอไม้โดยใช้ถ่อค้ำคอจนมีผู้ตาย หรือกักขังนักโทษในคอกเหมือนเล้าหมูให้อยู่ในน้ำโสโครกตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม งานศึกษาของ สืบแสง พรหมบุญ ชี้ว่าหลักฐานที่เอาผิดพระปรีชาฯ ได้ชัดที่สุดคือการทุจริตทางบัญชีเท่านั้น ส่วนข้อหาฆ่าคนหรือใช้อำนาจมิชอบ หลักฐานจำนวนมากยังไม่หนักแน่นพอ หากเทียบกับข้าราชการคนอื่นที่เคยกระทำผิดลักษณะใกล้เคียงกัน โทษอาจไม่ถึงขั้นประหารชีวิต

ปัจจัยทางการเมืองที่ทำให้คดีรุนแรง
หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้คดีลุกลาม คือระบบยุติธรรมไทยในเวลานั้นยังเป็นแบบ “ไต่สวน” จำเลยไม่มีสิทธิประกันตัว และฝ่ายบริหารมีอำนาจตัดสินคดีโดยตรง นอกจากนี้ยังมีบทบาทของขุนนางผู้ใหญ่ เช่น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ซึ่งเป็นผู้กราบทูลให้ลงโทษพระปรีชาฯ ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากกว่าเรื่องทุจริต
รัชกาลที่ 5 เองเคยมีพระราชหัตถเลขาสั่งให้ลงโทษพระปรีชาฯ อย่างหนัก เช่นการโบย 30 ที ด้วยเหตุว่า “การกำเริบหมิ่นประมาทและไม่ยำเกรงผู้ใหญ่” อีกทั้งทรงมีพระราชดำรัสต่อ มร.น็อกซ์ ว่าหากพระปรีชาฯ แจ้งเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้น เหตุการณ์คงไม่รุนแรงเช่นนี้
บุคลิกของพระปรีชาฯ ซึ่งมักดื้อดึงและไม่ให้ความร่วมมือระหว่างการดำเนินคดีก็ยิ่งทำให้ไม่ได้รับความปรานี ส่วนการแต่งงานกับแฟนนี่ไม่เพียงผิดธรรมเนียมเท่านั้น แต่ยังละเมิดคำสาบานของขุนนางที่ระบุว่า “อย่าเอาในไปเผื่อแผ่แก่ไทยต่างด้าวท้าวต่างแดน”
หลังคดีนี้ รัชกาลที่ 5 จึงวางหลักเกณฑ์ใหม่สำหรับพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนาง หากต้องการสมรสกับหญิงต่างชาติ ต้องกราบทูลขอพระบรมราชานุญาตก่อน และต้องลาออกจากราชการ เพื่อหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน
บทบาทของกงสุลน็อกซ์—ปัจจัยชี้ขาดโทษ
ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้คดีรุนแรง คือการที่ มร.น็อกซ์ พยายามใช้อำนาจกงสุลข่มขู่รัฐบาลไทยให้ปล่อยตัวพระปรีชาฯ ทำให้ไทยต้องส่งราชทูตไปชี้แจงต่ออังกฤษ และเมื่อรัฐบาลอังกฤษไม่สนับสนุน มร.น็อกซ์ก็เสียหน้าอย่างหนัก ฝ่ายไทยเองที่ถูกข่มขู่ก่อนหน้า ก็ไม่อาจลดโทษให้พระปรีชาฯ ได้โดยไม่เสียเกียรติ
บทสรุป
คดีพระปรีชากลการจึงเป็นผลรวมของ
-
ความขัดแย้งทางการเมือง
-
ปัญหาการทุจริตที่พิสูจน์ได้เพียงบางส่วน
-
ระบบยุติธรรมที่ยังไม่ทันสมัย
-
ความสัมพันธ์ระหว่างไทย–อังกฤษ
-
และการแต่งงานกับหญิงต่างชาติที่มีสถานะอ่อนไหวทางการทูต
หากพระปรีชาฯ ได้ขอพระบรมราชานุญาต หรือหากแฟนนี่ไม่ใช่บุตรสาวของกงสุลน็อกซ์ คดีนี้อาจไม่จบลงด้วยโทษประหารชีวิตเช่นที่เกิดขึ้นก็เป็นได้