ไขความลับ : ทำไม “ท้องเรือเดินทะเล” ต้องทาสีแดง?
ทำไมท้องเรือเดินทะเลทั่วโลกจึงมักทาสีแดงเหมือนกันแทบทุกลำ?
หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องความสวยงามหรือประเพณี แต่ความจริงแล้ว “สีแดงใต้ท้องเรือ” มีที่มาเกี่ยวกับเทคโนโลยีการเดินเรือที่สำคัญยิ่ง ตั้งแต่ยุคเรือไม้จนถึงเรือเหล็กสมัยใหม่
สีนี้ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ทางทะเล แต่คือวิธีป้องกันเพรียง สาหร่าย และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลที่อาจทำให้เรือช้าลง เปลืองเชื้อเพลิง และเสียหายได้อย่างคาดไม่ถึง
ท้องเรือของเรือเดินทะเลส่วนใหญ่ถูกทาด้วยสีแดงมาช้านาน ซึ่งมีทั้งเหตุผลด้านการใช้งานจริงและประเพณีทางทะเลที่สืบทอดกันมา แต่สาเหตุสำคัญที่สุดคือเรื่องของ การป้องกันสิ่งมีชีวิตในทะเลมาเกาะ หรือที่เรียกว่า Antifouling

การป้องกันเพรียงและสาหร่ายเกาะตัวเรือ
สีที่ใช้เคลือบท้องเรือมาตั้งแต่ในอดีต มักมีส่วนผสมของ ทองแดง หรือสารประกอบอย่างคิวปรัสออกไซด์ (Cuprous Oxide) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านทานสิ่งมีชีวิตในทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพ สารเหล่านี้มีฤทธิ์เป็นพิษต่อเพรียง สาหร่าย หอย หรือหนอนกินไม้ ทำให้พวกมันไม่สามารถเกาะติดตัวเรือได้
สารคิวปรัสออกไซด์ยังมี สีแดงตามธรรมชาติ ทำให้สีกันเพรียงยุคแรกๆเป็นสีแดงไปโดยปริยาย และสีนี้ก็กลายเป็นภาพจำของท้องเรือมาจนถึงปัจจุบัน

หากปล่อยให้เพรียงเกาะจะเกิดอะไรขึ้น?
การมีเพรียงหรือสาหร่ายเกาะท้องเรือทำให้เกิดผลเสียหลายอย่าง เช่น
-
เพิ่มแรงต้านน้ำ ทำให้เรือแล่นช้าลง
-
สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น เรือใช้พลังงานมากกว่าเดิมเพื่อรักษาความเร็ว
-
เสี่ยงต่อความเสียหายของผิวเรือ หากสิ่งมีชีวิตเกาะสะสมเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น การทาสีกันเพรียงจึงเป็นเรื่องจำเป็นของเรือเดินทะเลทุกลำ

ประเพณีและเหตุผลด้านการใช้งาน
แม้ว่าสีกันเพรียงในยุคใหม่จะผลิตได้หลายสี แต่สีแดงก็ยังคงนิยมใช้อยู่ เพราะ
-
เป็นการ สืบสานธรรมเนียมการเดินเรือ แบบดั้งเดิม
-
สีแดง มองเห็นได้ชัดเจนใต้น้ำ จึงตรวจสอบสภาพท้องเรือได้ง่าย
-
ช่วยให้เห็น แนวระดับน้ำหรือ Plimsoll Line ชัดเจนขึ้น
กล่าวโดยสรุป สีแดงถูกเลือกเพราะมีสารประกอบจากทองแดงที่ทำหน้าที่กันเพรียงได้ดี และยังช่วยให้เรือแล่นเร็วขึ้น ประหยัดเชื้อเพลิง พร้อมทั้งรักษาตัวเรือให้คงทนแข็งแรงในระยะยาวนั่นเอง