ข้อพิพาทความขัดแย้ง "จีน-ญี่ปุ่น" ทำไมตึงเครียดต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา?
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่นทวีความตึงเครียดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากประเด็นที่เกี่ยวโยงทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ไปจนถึงสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
ข้อพิพาทระลอกใหม่เริ่มต้นจากท่าทีที่แข็งกร้าวของรัฐบาลญี่ปุ่นต่อกรณีไต้หวัน ก่อนจะลุกลามเป็นความขัดแย้งแบบหลายมิติที่จับตากันทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออก
ต้นตอความขัดแย้ง: คำพูดของนายกฯ ญี่ปุ่น จุดชนวนความโกรธของจีน
ชนวนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีหญิงของญี่ปุ่น แสดงความคิดเห็นว่า หากจีนใช้นกำลังทางทหารกับไต้หวัน ญี่ปุ่น “อาจจำเป็นต้องตอบโต้ทางทหาร” เพื่อปกป้องความมั่นคงของตนเอง เนื่องจากสถานการณ์ไต้หวันเกี่ยวพันโดยตรงกับเส้นทางยุทธศาสตร์และผลประโยชน์ของญี่ปุ่น
ท่าทีดังกล่าวสร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงในปักกิ่ง รัฐบาลจีนออกแถลงการณ์ตำหนิทันที โดยระบุว่าญี่ปุ่นกำลัง “แทรกแซงกิจการภายในของจีน” และเตือนว่าหากไม่ถอนคำพูด ญี่ปุ่นต้อง “รับผลลัพธ์ที่จะตามมา” ทำให้ความตึงเครียดทางการทูตระหว่างสองชาติปรับระดับสูงขึ้นในทันที

จีนตอบโต้ด้วยมาตรการเศรษฐกิจเต็มรูปแบบ
หลังการปะทะทางวาทกรรม จีนเริ่มบังคับใช้มาตรการต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อญี่ปุ่นอย่างกว้างขวาง ได้แก่
1) ระงับการนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่น
แม้ญี่ปุ่นจะปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารทะเลหลังการปล่อยน้ำบำบัดของฟุกุชิมะ แต่จีนก็ประกาศระงับการนำเข้าอีกรอบ สร้างแรงกดดันให้ผู้ประกอบการประมงญี่ปุ่นจำนวนมาก
2) เตือนพลเมืองจีน “อย่าเดินทางไปญี่ปุ่น”
รัฐบาลจีนออกคำแนะนำให้ชาวจีนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปญี่ปุ่น ส่งผลกระทบทันทีต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวของญี่ปุ่น สายการบินหลายแห่งต้องอนุญาตให้ยกเลิกตั๋วโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ขณะที่รายงานระบุว่าตัวเลขการยกเลิกเที่ยวบินรวมกันกว่า 500,000 รายการ ภายในไม่กี่วัน
3) กิจกรรมวัฒนธรรมถูกยกเลิกเป็นวงกว้าง
คอนเสิร์ต การแสดง และกิจกรรมที่มีศิลปินญี่ปุ่นเข้าร่วมในจีน ไม่ว่าจะเป็นโอตาคุคัลเจอร์หรืออีเวนต์ต่างๆ ถูกยกเลิกหรือเลื่อนแบบไม่มีกำหนด การฉายภาพยนตร์ญี่ปุ่นในจีนก็ถูกชะลอเช่นกัน สะท้อนว่าจีนใช้ “พลังนิ่มและเศรษฐกิจ” เป็นเครื่องมือกดดันญี่ปุ่นอย่างจริงจัง
มิติด้านความมั่นคง: เซนกากุ (เตียวหยู) กลับมาเดือดอีกครั้ง
นอกจากเศรษฐกิจ จีนยังยกระดับความเคลื่อนไหวทางทหารในพื้นที่พิพาทด้วย
-
เรือยามฝั่งจีนเข้าสู่พื้นที่ใกล้หมู่เกาะเซนกากุ (เตียวหยู) บ่อยครั้งมากขึ้น
-
มีรายงาน โดรนจีนบินเข้าใกล้น่านฟ้าญี่ปุ่น
-
กองทัพปลดแอกประชาชน (PLA) จัดการซ้อมรบด้วยกระสุนจริงบริเวณทะเลเหลือง
-
เรือรบญี่ปุ่นต้องเพิ่มการลาดตระเวนเพื่อสกัดกั้นความเคลื่อนไหวดังกล่าว
หมู่เกาะเซนกากุเป็นพื้นที่พิพาทยาวนานระหว่างจีนและญี่ปุ่น ทั้งด้านประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจทะเล และเส้นทางเดินเรือยุทธศาสตร์ ความเคลื่อนไหวล่าสุดจึงยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น
มิติใหม่ของความขัดแย้ง: อิทธิพลทางวัฒนธรรมถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง
ในช่วงสัปดาห์เดียวกัน โลกโซเชียลจีนเกิดกระแสวิจารณ์ “ความพยายามลบล้างประวัติศาสตร์” จากกรณีการก่อสร้างโครงการในญี่ปุ่นที่ถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งยังเป็นประเด็นอ่อนไหวระหว่างสองชาติ
อีกด้านหนึ่ง ภาพยนตร์และคอนเทนต์ญี่ปุ่นหลายเรื่องถูกลบออกจากแพลตฟอร์มจีน โดยให้เหตุผลด้าน “ความเหมาะสม” แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ามีมิติทางการเมืองแฝงอยู่ด้วย
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าความขัดแย้งไม่จำกัดอยู่แค่รัฐบาลต่อรัฐบาล แต่ยังลุกลามสู่ระดับประชาชนและวัฒนธรรมร่วมสมัย
ผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้าง
การท่องเที่ยวและการค้าระหว่างจีนกับญี่ปุ่นมีมูลค่าสูงมาก จึงไม่แปลกที่ตลาดทุนและภาคธุรกิจจะจับตามองอย่างใกล้ชิด
-
นักท่องเที่ยวจีนเป็นกลุ่มที่ใช้จ่ายสูงที่สุดในญี่ปุ่น หากตัวเลขเดินทางลดลงอย่างหนักจะกระทบรายได้โดยตรง
-
ตลาดหุ้นในเอเชียมีความผันผวนขึ้นทันทีหลังความขัดแย้งปะทุ
-
นักลงทุนกังวลว่าความตึงเครียดอาจลากยาวจนกระทบโซ่อุปทานในภูมิภาค
บางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาจได้รับประโยชน์เล็กน้อยจากการเบี่ยงเส้นทางท่องเที่ยว แต่ภาพรวมยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
วิเคราะห์สถานการณ์: โอกาสลุกลามสู่การปะทะทางทหารยังต่ำ แต่ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า แม้ความตึงเครียดเพิ่มขึ้น แต่โอกาสที่จะนำไปสู่การปะทะโดยตรงยังต่ำ เพราะทั้งจีนและญี่ปุ่นต่างเข้าใจดีว่าความเสียหายจะรุนแรงเกินกว่าจะรับได้ อย่างไรก็ตาม:
-
จีนยังคงใช้ การทูตแข็งกร้าว (Wolf Warrior Diplomacy)
-
ญี่ปุ่นยังคงยึดจุดยืนด้านความมั่นคงต่อไต้หวัน
-
ความขัดแย้งทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจอาจลุกลามและไม่สามารถควบคุมได้ง่าย
สิ่งนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ความตึงเครียดระลอกนี้อาจเป็นสัญญาณของ “ยุคใหม่ของการแข่งขันเชิงอำนาจในภูมิภาคเอเชียตะวันออก” ที่จะมีผลไปอีกหลายปี

ข้อพิพาทจีน–ญี่ปุ่นในรอบสัปดาห์ คือความขัดแย้งหลายมิติที่คุกรุ่นต่อเนื่อง
สัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ข้อพิพาทจีน–ญี่ปุ่นไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเมืองระหว่างประเทศ แต่ยังขยายไปถึงเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว วัฒนธรรม ความมั่นคง และภาพลักษณ์ของสองชาติในระดับโลก
ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ชั่วคราว แต่เป็นสัญญาณของการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ที่ทวีความเข้มข้น และอาจกลายเป็นหนึ่งในประเด็นที่กำหนดทิศทางความมั่นคงของภูมิภาคในอนาคต


