เมืองที่เครียดที่สุดในโลก 2025 อันดับ 1 เดาไม่ยาก! แล้วเมืองเครียดน้อยที่สุด อยู่ที่ไหน?
ไม่แปลกใจ! นิวยอร์กคว้าตำแหน่ง "เมืองที่เครียดที่สุดในโลก" ปี 2025 สาเหตุหลักคือค่าครองชีพมหาศาล
นิวยอร์กเพิ่งถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่ดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกจาก Resonancy Consultancy ด้วยจุดเด่นด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์และโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ แต่ล่าสุดเมืองนี้กลับขึ้นอันดับ 1 ในอีกหนึ่งโผที่ไม่ค่อยน่าภูมิใจเท่าไรนัก คือ “เมืองที่มีความเครียดมากที่สุดในโลก” จากการจัดอันดับของบริษัทด้านการเงิน Remitly ที่ประเมินทั้งค่าครองชีพ อาชญากรรม การจราจรแออัด มลพิษ และการเข้าถึงบริการสาธารณสุข
นิวยอร์ก เมืองใหญ่ที่ค่าครองชีพดันดันให้คนเครียด
Remitly ใช้ปัจจัยหลักอย่างค่าครองชีพ อัตราอาชญากรรม ความหนาแน่นของการจราจร มลพิษ และการเข้าถึงระบบสาธารณสุข มาคิดเป็น “คะแนนความเครียด” เต็ม 10 คะแนน ซึ่งนิวยอร์กทำได้สูงถึง 7.59 คะแนน สูงที่สุดในบรรดาเมืองใหญ่ทั่วโลก
ตัวแปรสำคัญที่ดันคะแนนความเครียดของนิวยอร์กให้พุ่งสูงคือค่าครองชีพที่แพงลิ่ว ชาวเมืองส่วนใหญ่ระบุว่าค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องคือความกังวลอันดับแรก จากผลการศึกษาในปี 2025 ของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ที่ชี้ไปในทิศทางเดียวกัน

เฉพาะค่าเช่าห้องพักในแมนฮัตตันก็ทำลายสถิติอย่างต่อเนื่อง โดยค่าเช่ากลางขยับเพิ่มขึ้น 7.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน มาอยู่ที่ 4,625 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ขณะเดียวกันภาวะเงินเฟ้อก็ซัดหนักทั้งด้านค่าอาหาร ค่าน้ำค่าไฟ และประกันต่างๆ จน Remitly ให้คะแนนค่าครองชีพของนิวยอร์กเต็ม 100 จาก 100
เมื่อเทียบกันแล้ว เอเธนส์ในกรีซมีคะแนนค่าครองชีพอยู่ที่ 56.6 ขณะที่เม็กซิโกซิตีต่ำกว่ามากที่ 44.4 สะท้อนช่องว่างด้านค่าครองชีพระหว่างมหานครเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน
ดับลิน เม็กซิโกซิตี มะนิลา ลอนดอน ติดโผเมืองเครียดด้วย
แม้การที่นิวยอร์กขึ้นแท่นเมืองเครียดที่สุดในโลกจะไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจนัก แต่เมืองอันดับ 2 อย่างดับลินในไอร์แลนด์กลับทำให้หลายคนต้องหันมามองใหม่ เพราะภาพจำของหลายคนคือเมืองที่เต็มไปด้วยผับ กวี และเสน่ห์สบายๆ
ดับลินทำคะแนนความเครียดรวมได้ 7.55 คะแนน ปัญหาหลักมาจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน นอกจากนี้ยังถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่รถติดมากที่สุดในยุโรป โดยชาวเมืองต้องใช้เวลาเฉลี่ยกว่า 32 นาที 45 วินาที ในการเดินทางระยะทางเพียง 10 กิโลเมตร
อันดับถัดมาใน 5 เมืองที่เครียดที่สุดของโลก ได้แก่ เม็กซิโกซิตี มะนิลา และลอนดอน ซึ่งต่างเผชิญปัญหาร่วมกันทั้งด้านการจราจร มลพิษ และความท้าทายทางเศรษฐกิจที่กดดันคุณภาพชีวิตของคนเมือง
5 อันดับ เมืองที่เครียดที่สุดในโลก ปี 2025
| อันดับ | เมือง | ประเทศ | ปัจจัยหลักที่ทำให้เครียด |
|---|---|---|---|
| 1 | นิวยอร์ก (New York City) | สหรัฐอเมริกา | ค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก ค่าเช่าบ้านแพง ของอุปโภคบริโภคขึ้นราคา เงินเฟ้อกดดันอย่างต่อเนื่อง |
| 2 | ดับลิน (Dublin) | ไอร์แลนด์ | ปัญหาค่าครองชีพสูง การหาที่อยู่อาศัยยาก การจราจรแออัดและใช้เวลาเดินทางยาว |
| 3 | เม็กซิโกซิตี (Mexico City) | เม็กซิโก | รถติดมาก มลพิษสูง ความหนาแน่นของเมืองและประชากร |
| 4 | มะนิลา (Manila) | ฟิลิปปินส์ | จราจรติดขัด มลพิษทางอากาศสูง พื้นที่เมืองหนาแน่น |
| 5 | ลอนดอน (London) | สหราชอาณาจักร | ค่าครองชีพแพง ภาระค่าใช้จ่ายรายเดือนสูง ปัญหาที่อยู่อาศัยราคาเกินเอื้อม |
ไอนด์โฮเวน เมืองเครียดน้อยที่สุดในโลก
ในทางกลับกัน เมืองที่ได้ชื่อว่า “เครียดน้อยที่สุดในโลก” คือไอนด์โฮเวนในเนเธอร์แลนด์ ด้วยคะแนนความเครียดเพียง 2.34 เท่านั้น ตามมาด้วยเมืองอูเทรคต์ซึ่งเป็นเมืองของเนเธอร์แลนด์เช่นกัน
ทั้งสองเมืองได้รับคะแนนดีจากการเข้าถึงระบบสาธารณสุขที่มีคุณภาพ อัตราอาชญากรรมต่ำ และมลพิษในระดับต่ำ ทำให้ภาพรวมคุณภาพชีวิตของคนเมืองอยู่ในเกณฑ์ผ่อนคลายมากกว่ามหานครใหญ่หลายแห่งทั่วโลก
การจัดอันดับครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า “ความเป็นเมืองใหญ่ระดับโลก” ไม่ได้มาพร้อมกับความอยู่สบายเสมอไป ปัจจัยด้านค่าครองชีพ สภาพแวดล้อม และโครงสร้างเมืองล้วนมีผลโดยตรงต่อระดับความเครียดในชีวิตประจำวันของผู้คน
บทสรุป: เมืองระดับโลก vs ความเครียดของคนเมือง
นิวยอร์กอาจเป็นศูนย์กลางด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และโครงการพัฒนาเมืองระดับโลก แต่ในอีกมุมหนึ่งก็เป็นตัวอย่างชัดเจนของมหานครที่ผู้คนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายสูงและจังหวะชีวิตที่เร่งรีบอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน เมืองอย่างดับลิน เม็กซิโกซิตี มะนิลา และลอนดอนก็สะท้อนความท้าทายคล้ายคลึงกันของเมืองใหญ่ยุคใหม่ ที่ต้องหาจุดสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน
ส่วนเมืองเล็กที่วางระบบโครงสร้างพื้นฐานดี เข้าถึงสาธารณสุข และบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลับกลายเป็นพื้นที่ที่ผู้คนใช้ชีวิตได้อย่างผ่อนคลายมากกว่า การจัดอันดับครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือสัญญาณเตือนให้ทุกเมืองหันมาให้ความสำคัญกับ “สุขภาพใจของคนเมือง” มากยิ่งขึ้น
