เนื้อหาในหมวด หนัง-ละคร

WandaVision ความเจ็บปวดของวันด้า ซีรีส์ซิทคอม และโลกแฟนตาซีที่เธอโหยหา

WandaVision ความเจ็บปวดของวันด้า ซีรีส์ซิทคอม และโลกแฟนตาซีที่เธอโหยหา

 

คนดูได้รับรู้จาก Avengers: Endgame เป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าตัวละครอย่างวิชั่น (พอล เบตตานีย์) นั้นถูกธานอสฆ่าตายเพื่อชิงอินฟินิตี้สโตนบนตัวไปแล้ว ดังนั้นการกลับมาคืนจอแก้วคู่กับวันด้า (อลิซาเบธ โอลเซน) ในซีรีส์จึงมาพร้อมคำถามที่พะอยู่ที่หน้าผากคนดูว่า ตกลงแล้วซีรีส์เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาไหน เป็นจินตนาการของใคร หรือแท้ที่จริงแล้ววิชั่นยังมีชีวิตอยู่?

การเปิดปมด้วยคำถามมากมายของผู้ชม ด้วยการเผยให้คนดูเห็นว่าคู่รักอย่างวันด้าและวิชั่นที่เพิ่งจะย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านเวสต์วิวซึ่งมีลักษณะเป็นที่อยู่อาศัยบริเวณชานเมือง ซึ่งเมื่อเราวิเคราะห์จากลักษณะเครื่องแต่งกาย ลักษณะสถาปัตยกรรมของตัวบ้าน ไลฟ์สไตล์ของตัวละครแล้วพวกเขาน่าจะมีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1950 โดยประมาณ เราจะได้เห็นว่าวันด้าเป็นแม่บ้านที่ต้องคอยทำงานบ้านอันแสนจุกจิก ในขณะที่วิชั่นต้องแบกกระเป๋าสูทเพื่อออกไปทำงานนอกบ้าน ท่าทีของ WandaVision ในตอนแรกจึงมาพร้อมปริศนาก้อนใหญ่กว่าเดิม ว่าตลกแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันต้องการจะบอกอะไรกันแน่

วิธีการการกำกับภาพในตอนแรก จงใจที่จะกำหนดตัวภาพให้ออกมาในสัดส่วน 4:3 ซึ่งเป็นอัตราส่วนของจอทีวีในยุคแรกเริ่ม ภาพยังมีภาพเป็นสีขาวดำซึ่งตรงกับเทคโนโลยีในช่วงเวลานั้น สิ่งที่เกิดนี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความอยากเก๋ของตัวผู้กำกับ แต่ทุกอย่างจะได้รับการคลี่คลายในเวลาต่อมาอย่างมีนัยยะสำคัญ

จริงอยู่ที่แฟนๆมาร์เวล ที่คาดหวังฉากแอ็คชั่นโครมครามอาจจะต้องเกิดอาการงงเงิบ ว่าตกลงแล้วนี่คือ “มาร์เวล” ในแบบที่เขาเคยชมมาในเวอร์ชั่นภาพยนตร์หรือไม่ แต่สิ่งที่คนดูคาดหวังจะถูกเฉลยในตอนที่ 4 ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังดูอยู่นั้น ดำรงอยู่ในช่วงเวลาไหนของไทม์ไลน์จักรวาลมาร์เวลกันแน่

 

เนื่องจากประเด็นที่กำลังจะเขียนถึง มีความจำเป็นจะต้องเฉลยปริศนาบางส่วนของซีรีส์ หากไม่ต้องการเสียอรรถรสกรุณาข้ามเนื้อหาต่อจากนี้เป็นต้นไป

 

หลังจากที่คนดูได้ทำความเข้าใจแล้วว่า ปรากฏการณ์จอทีวีขาวดำ สู่ภาพสีนั้น มีความเกี่ยวโยงกับจิตสำนึกบางอย่างของวันด้าเอง อีกทั้งเมื่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นในซีรีส์นี้อยู่ในช่วงเวลา3 สัปดาห์หลังจากเหตุการณ์ใน Avengers : Endgame ดังนั้นแผลใจที่ทำให้วันด้าต้องเสียใจและพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ครั้งใหม่ จึงกลายเป็นสิ่งที่กระตุ้นพลังที่หลับใหลให้ตื่นขึ้นมาโดยที่เธอเองก็ไม่รู้ตัว

เมื่อเราย้อนกลับไปวิเคราะห์ปมชีวิตของตัววันด้าในจักรวาล MCU เราจะพบว่าหญิงสาวคนนี้เติบโตมาพร้อมกับความทุกข์ตั้งแต่เด็กจนโต แถมวิกฤตชีวิตเธอเหมือนเกิดซ้ำซากเป็นวงจรอุบาทว์ไม่มีจบสิ้น วัยเด็กโตมาพร้อมสงครามและต้องสูญเสียครอบครัว เมื่อเข้าช่วงวัยรุ่นเธอต้องสูญเสียน้องชาย เมื่อมีคนรักเธอก็ถูกพรากสายใยนั้นไปตลอดกาล วินาทีนี้คนอย่างวันด้าได้เดินทางมาสู่ปากเหวแห่งความหวัง เธอจึงสร้าง “โลก” ของตัวเองขึ้นมาและพาตัวเองเข้าไปอยู่ในความสุขที่เธอโหยหาทั้งชีวิต

โลกที่ว่านั้นจึงกลายเป็นภาพทับซ้อนของเมืองเวสต์วิวกับความฝันที่วันด้า โหยหามาตลอดชีวิต อธิบายอย่างง่ายคือวันด้าในช่วงเด็กนั้น สมัยที่เธอยังอาศัยอยู่ในโซโคเวีย ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ท่ามกลางความขัดแย้งและสงคราม โลกแห่งความสุขที่เธอจะหลีกเร้นไปสู่จินตนาการคือการได้ดูดีวีดีทีวีซีรีส์จากอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น I Love Lucy, Leave It to Beaver, The Honeymooners, The Dick Van Dyke Show, Bewitched, I Dream of Jeannie เป็นต้น คือการหลีกเร้นจากโลกแห่งความเป็นจริงที่เธอและครอบครัวสามารถทำได้

เมื่อชีวิตเดินทางมาสู่ความสิ้นหวัง สิ่งที่วันด้าทำได้คือการพาตัวเองกลับไปอยู่ในช่วงเวลาที่เธอมีความสุขที่สุด และคนที่เธอรักที่สุด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ ว่าทำไมตัวละครอย่างวันด้าจึงเลือกจะไม่สนใจคนอื่นว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ขอแค่ตัวเองได้อยู่กับสิ่งที่เธอรักไปตลอดกาล และสร้างโลกของตัวเองขึ้นมา

โลกแฟนตาซีที่วันด้าสร้างขึ้น เมื่อมันมีวิวัฒนาการไปตามยุคสมัย แฟนตาซีของเธอก็ต้องเติบโตไปพร้อมๆกันกับเทคโนโลยี เธอจึงเริ่มเรียนรู้ว่าในความฝันที่เธอดำดิ่งอยู่นั้น ไม่มีสิ่งใดสามารถอยู่ยั้งยืนยันได้ตลอดไป กระทั่งคนรักในจินตนาการอย่างวิชั่นที่กลับมาด้วยพลังวิเศษนั้น ก็ไม่อาจจะอยู่กับเธอได้ตลอดไปเช่นกัน ดังนั้นท้ายที่สุดแล้ววันด้าเองก็ยังคงต้องแบกรับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอีกครั้ง มิหนำซ้ำครั้งนี้เธอยัง “เจ็บหนัก” กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะเธอกลายเป็นคนที่ไม่มีอะไรที่จะต้องให้เสียอีกต่อไป ไม่จำเป็นจะต้องเป็นความหวังของใครและเช่นเดียวกันเธอก็ไม่มีใครที่จะต้องเป็นห่วงอีกแล้ว

การปูทางตัวละครวันด้า กับฐานะของสการ์เลตวิทช์ พร้อมกับพลังมหาศาลจากซีรีส์ WandaVision จึงเป็นการสร้างความน่าเห็นอกเห็นใจให้กับคนดูให้กับตัวละครนี้ ถึงขนาดที่ว่า ฉากการจากลาครั้งสุดท้ายระหว่างวันด้าและวิชั่นนั้นอาจจะทำคนดูน้ำตาร่วงกันเลยทีเดียว และคงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอีกเช่นกันว่าถ้าบทบาทในอนาคตของตัวละครนี้ เธอจะกระโจนเข้าสู่ด้านมืดอย่างเต็มตัว เพราะเรารู้แล้วว่า เมื่อใครสักคนหมดแล้วสิ้นซึ่งความหวัง ก็พร้อมที่จะทำทุกทางเพื่อให้คนอื่นได้รู้สึกแบบเดียวกันกับเธอ

คงต้องมาดูกันต่อใน Doctor Strange in the Multiverse of Madness ตัวละครอย่างวันด้า จะมาในคราบของฝ่ายสว่าง หรือกระโจนเข้าสู่ด้านมืดมิดกันแน่

ซีรีส์ Marvel แบบไปต่อแบบไม่รอแล้วนะ โดย แอดมินเพจกะเทยนิวส์

ซีรีส์ Marvel แบบไปต่อแบบไม่รอแล้วนะ โดย แอดมินเพจกะเทยนิวส์

Original Content จากทาง Marvel ที่นำมาลง Disney+ นั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวใหม่ๆ ที่จะสานต่อเรื่องราวต่อจาก Avengers ทั้งสิ้น และกลายเป็นหลักรายทางสำคัญที่ถ้าแฟนๆอยากจะตามเรื่องราวให้ครบถ้วน ก็ไม่สามารถพลาดได้เลยแม้แต่เรื่องเดียว โดย แอดมินเพจกะเทยนิวส์

Doctor Strange 2 คุณแม่ผู้แตกสลายกับโอกาสสุดท้ายที่จะมีความสุข

Doctor Strange 2 คุณแม่ผู้แตกสลายกับโอกาสสุดท้ายที่จะมีความสุข

หลังจากที่ Doctor Strange in the Multiverse of Madness เข้าฉายไปตั้งแต่วันพุธที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา เล่นเอาโรงหนังทั่วประเทศเกือบแตก ห้างรถติดหาที่จอดรถกันไม่ได้ พอจะการันตีได้เลยว่าหนังจากมาร์เวลยังคงไม่เสื่อมมนต์ขลังในการเป็นตัวเรียกแขกกลับมาเยือนโรงภาพยนตร์อีกครั้ง

สำรวจวายร้ายในหนัง Doctor Strange 2 มี \

สำรวจวายร้ายในหนัง Doctor Strange 2 มี "ใคร" หรือ "สิ่งใด" บ้าง

Doctor Strange in the Multiverse of Madness หนังซูเปอร์ฮีโร่ลำดับที่ 28 ในจักรวาล MCU ผลงานการกำกับของแซม ไรมี่ ที่มีตัวละครเด่นอย่างสตีเฟ่น สเตรนจ์และวันด้า แม็กซิมอฟฟ์ ที่กลายร่างเป็นสการ์เล็ต วิทช์ผู้มีเวทมนตร์คาถาในระดับทำลายล้าง! แต่ตกลงเธอเป็นตัวร้ายจริงๆหรือ?

กลุ่ม อิลลูมินาติ คือใครใน Doctor Strange 2

กลุ่ม อิลลูมินาติ คือใครใน Doctor Strange 2

มีการพูดถึงกลุ่ม อิลลูมินาติมาตั้งแต่ในตัวอย่าง Doctor Strange in the Multiverse of Madness จนเรียกได้ว่าเหล่าคอคอมมิกส์มาร์เวลกรี๊ดกันจนสลบไปแล้วหนึ่งหน แต่ก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าการรู้ว่า “สมาชิกในกลุ่มนี้” ประกอบไปด้วยตัวละครใดบ้าง แน่นอนบทความนี้มีการสปอยล์ เหมาะสำหรับคนที่ชมภาพยนตร์แล้วเท่านั้น

ทำไม Spider-Man: No Way Home จะกลายเป็นหนังสำหรับคนติดตามสไปเดอร์แมน “รัก” ที่สุด

ทำไม Spider-Man: No Way Home จะกลายเป็นหนังสำหรับคนติดตามสไปเดอร์แมน “รัก” ที่สุด

คงต้องยอมรับว่า สไปเดอร์-แมน ถือเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่มีอิทธิพล มาโดยตลอดในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานี้ โดยเฉพาะการขึ้นจอใหญ่ในปี 2002 อันเป็นผลงานการกำกับของแซม ไรมี่ ที่ทำให้ฮีโร่พลังแมงมุมคนนี้อยู่ในความทรงจำของผู้ชมทั้งโลก ตั้งแต่วันนั้น