Damien Rice Live in Bangkok 2016 เต็มอิ่มทุกอารมณ์ สุข เศร้า เหงา ซึ้ง (และขำกลิ้ง)
“ได้บัตรด้วย Damien Rice ด้วยเหรอ อิจฉามากกกกโชคดีมากกกก” หนึ่งในประโยคที่เราได้ยินซ้ำๆ เมื่อคนรอบข้างทราบข่าวว่าเราเป็นหนึ่งในไม่กี่สื่อที่ได้สิทธิ์ในการไปดูคอนเสิร์ตของพี่ข้าวสุดอาร์ต หรือชื่อจรง Damien Rice หลังจากที่บัตรคอนเสิร์ตขายหมดเกลี้ยงภายใน 10 นาทีที่เปิดขายวันแรก
แต่ก็นั่นแหละ อีกหลานคนก็ส่งปฏิกิริยาตอบกลับมาอีกแบบหนึ่ง “Damien Rice ใครอ่ะ?” ซึ่งก็ไม่แปลกที่จะรู้จัก เพราะเส้นทางการทำงานในวงการดนตรีของผู้ชายคนนี้ไม่ได้หวือหวา ไม่ได้มีชื่อขึ้นขาร์ตเพลงดังๆ บ่อยๆ ข่าวกอสสิปยิ่งไม่ต้องพูดถึง
แต่เสน่ห์ของ Damien Rice ที่แฟนเพลงส่วนใหญ่ชื่นชอบ ก็เพราะเขาเป็นแบบนี้นี่แหละ เพลงหม่นๆ น้ำเสียงเศร้าๆ แต่มีพลัง ทำตัว low profile และที่สำคัญ เขาเป็นศิลปินที่ควรค่าแก่การเรียกว่าเป็น “ศิลปิน” อย่างแท้จริง
นับจากวันที่เราแย่งกดซื้อบัตรหนาจอคอมกับคนอื่นเขาไม่ทัน เผลอแปบเดยววันงานคอนเสิร์ตก็มาถึง ไทม์ไลน์ในเฟซบุ๊คเงียบกริบ ไม่รู้ว่าไม่มีใครสนใจดูพี่ข้าว หรือซื้อบัตรไม่ได้แล้วออกจากโลกโซเชียลไปนั่งเลียแผลใจอยู่ในโลกแห่วความจริงกันแน่ ทำเอาเราเริ่มไม่มั่นใจว่า “คอนเสิร์ตวันนี้หรือเปล่าเนี่ย?” แต่พอไปถึงหน้า BCC Hall ปุ๊บ คนล้นหลามทะลักออกมาตรงบันไดเลื่อน เลยแอบใจชื้นว่าเราโอเคล่ะ ถึงแม้ว่าภายในงานจะไม่มีการตั้งบู้ทขายของ หรือแม้กระทั่งแบ็คดรอปให้ถ่ายรูปคู่กับพี่เดเมียนเลยก็ตาม
20.30 น. เลทไปนิดหน่อย เมื่อไฟดับลงก็เป็นสัญญาณว่าศิลปินกำลังจะออกมา แต่ก่อนจะพบกับศิลปิน มีเสียงประกาศว่าขอให้แฟนเพลงนั่งกับที่ ถ้ามีที่ให้นั่ง ถ้าไม่มีก็ยืน เอาที่สบายใจ (เค้าพูดแบบนี้จริงๆ) ปิดโทรศัพท์มือถือ แล้วปลดปล่อยจินตนาการไปกับเรา หลังจากนั้น Damien Rice ก็ปรากฏตัวด้วยเสื้อเชิ้ตสีตุ่นๆ กางเกงสีน้ำตาลคาราเมลอ่อน พร้อมสายเอี้ยม ตามสูตรเสื้อผ้าที่ใช้ในการโปรโมตเพลงอัลบั้มล่าสุด “My Favourite Faded Fantasy” และปรากฎกายผ่าสปอร์ตไลท์เบื้องหลังสีแดงสด พร้อมเพลงหม่นๆ อย่าง “Older Chests”
สิ่งดีงามคือตลอดช่วงการแสดงเราเห็นคนยกกล้องขึ้นมาแอบถ่ายภาพ อัดวิดีโอน้อยมาก มากกว่า 90% ทั้งฮอลเลยมืดสนิท ไม่มีแสงรบกวนสายตา คนดูแต่ละคนล่องลอยอยู่ในภวังค์ในโลกสีเทาของพี่ Damien Rice กันจริงๆ
ก่อนขึ้นเพลง “Cannonball” แอบเช็คสภาพไมโครโฟนแล้วพบว่ายังไม่พร้อมใช้งาน พี่ข้าวก็บอกว่า ใช้ไม่ได้ก็ไม่ใช้ แล้วเริ่มเล่นเพลงสดๆ แบบที่มีแค่พี่เค้าเอง เสียงเค้าเองสดๆ และเสียงกีต้าร์โปร่งสดๆ ไม่ผ่านอะไรทั้งสิ้น completely unplugged แต่เชื่อไหม เราที่นั่งหลังสุดยังได้ยินเสียงพี่เค้าชัดมาก เห็นร้องแต่เพลงช้าเพลงเศร้าแบบนี้ แต่ขอบอกเลยว่าพลังเสียงดีมาก เสียงใสมากจนนึกว่าเปิดซีดีเลยแหละ
เทคนิคการร้องเพลง และการแสดงของเขาก็ธรรมดาเสียที่ไหน ไล่สเกลเพลง ดนตรี และการร้องตั้งแต่ร้องเบาๆ เศร้าๆ หอนๆ แบบจะขาดใจ ไปจนถึงเสียงกระแทกกระทั้น ตะโกนเสียงดังสนั่น อัดเสียงใส่ pedal loop เปิดเป็นแบ็คกราวน์เปิดวน เล่นเครื่องดนตรีตั้งแต่กีต้าร์โปร่ง กีต้าร์ไฟฟ้า เครื่องตี เครื่องเป่า กลอง และอื่นๆ อีกเพียบ เล่นอยู่คนเดียวทั้งเวที แสงสีก็เล่นไปกับอารมณ์ของเพลงได้เป็นอย่างดี จบทุกเพลงขนลุกซู่ทุกเพลง เหมือนมาเสพงานศิลป์มากกว่ามาดูคอนเสิร์ต แถมด้วยความอาร์ตของพี่เค้าโดยขอหรี่แอร์ลงเพราะแอร์ดัง รบกวนสมาธิ แถมเอฟเฟกส์เสียงแตกๆ แบบ post-rock ที่เอาคนในฮอลหูดับกันไปบางส่วน แต่ก็นั่น คิดเสียว่ามาเสพงานอาร์ต 555
เรื่องเอนเตอร์เทน พี่ Damien Rice ก็ไม่ได้เป็นสองรองใคร ถึงแม้จะพูดน้อย แต่ก็ต่อยหนักใช่เล่น ตั้งแต่มุกตลกเรื่องสเปิร์ม (ใช่ สเปิร์มจริงๆ) ใส่คำว่า “ดิ๊ก” ลงไปในเพลง (ดิ๊ก เมด ออฟ วู้ด) แซวคนมาสาย แซวคนเดินออกไปข้างนอก แซวแม้กระทั่งตัวเองว่าเป็นคนร้องเพลงเศร้าที่โครตจะฟักกิ้งแฮปปี้ ไม่เหมือนนักแสดงตลกที่ได้ยินว่าจริงๆ แล้วชีวิตจริงออกจะเศร้า
“ความทุกข์ก็เหมือนขี้ เราเลือกกินอาหารอร่อยๆ เข้าไป อะไรไม่ดีก็ขี้ออกมา ผมร้องเพลงเศร้าๆ ก็เหมือนเป็นการบำบัดอย่างหนึ่ง ผมก็เลยโยนเรื่องทุกข์ เรื่องเศร้าใส่แฟนเพลงอย่างพวกคุณไง”
แถมยังถามแฟนเพลงอีกด้วยว่า ใครเคยอยู่ในช่วงอารมณ์ซึมเศร้า แล้วอินกับเพลงของเขาบ้างไหม แล้วพี่ก็เริ่มตะโกนร้องเพลง Rootless Tree ท่อน “ฟักยู ฟักยู ฟักยู” เหมือนอารมณ์คนอกหักร้องไห้งอแง (เสียดายที่ไม่ร้องเพลงนี้ ไม่งั้นจะได้ตะโกนตาม) ไงล่ะ เห็นร้องแต่เพลงช้าๆ หม่นๆ บทจะฮาก็ฮาแตกทั้งฮอลไปเลย
สิ่งที่ประทับใจที่สุดสำหรับตั้งแต่ในชีวิตที่ดูคอนเสิร์ตมานับครั้งไม่ถ้วน คือ เรายังไม่เคยเจอศิลปินที่ร้องเพลงตามคำขอของแฟนเพลงอย่างแท้จริง (เคยได้ยินข่าวนี้กับ Coldplay แต่ก็ไม่ได้อยู่ร่วมประสบการณ์ด้วยอ่ะนะ) Damien แต่งเพลงจากคำว่า “ขอบคุณ” ภาษาไทย ด้วยคอร์ด C และ B Minor ตามคำขอของแฟนเพลงที่โยนคอร์ดให้พี่เค้าส่งๆ (แต่พี่เค้าก็แต่งเพลงสดๆ ให้ได้เลยเดี๋ยวนั้น” แถมยังเปิดโอกาสให้แฟนเพลงตะโกนชื่อเพลงที่อยากฟังขึ้นไปบนเวทีได้เลย
มาหมดทั้งเพลงตามลิสเดิม และเพลง by request จากแฟนเพลง ที่พี่ข้าวบอกว่า “Sure, at your service” ทั้ง “My Favourite Faded Fantasy” (หนึ่งในเพลงโปรดของเรา ที่ทำเราสตั๊นท์ไปเลย) “Colour Me In” “Amie” “Delicate” และอื่นๆ อีกเพียบ รวมไปถึง “9 Crimes” ที่เรารอคอยเป็นพิเศษ ถึงแม้จะขาดเสียงหวานๆ ของ Lisa Hannigan และแบ็คอัพเครื่องสายไปบ้าง แต่พี่ Damien Rice ก็ร้องเอาไว้ได้ดีจนปรบมือให้สุดแรงเกิด
อยากจะบอกว่าพี่ข้าวกล้ามากจริงๆ เพราะบางเพลงอย่าง “Insane” แม้กระทั่งตัว Damien เองยังบอกเลยว่า “คิดว่าในฮอลนี้มีคนรู้จักเพลงนี้ไม่เกิน 10 คนหรอกนะ แต่จะเล่นให้” แฟนเพลงเองก็แฟนพันธุ์แท้สุดๆ ปลาบปลื้มแทนพี่ข้าวจริงๆ (ได้ยินคนตะโกนชื่อเพลง “Then Go” ด้วยนะ กะลองภูมิพี่ข้าวกันชัดๆ)
เดินทางมาสู้ช่วงสุดท้ายของโชว์ ร้องเพลงสุดท้ายกับมหากาพย์วนลูปใน “It Takes A Lot To Know A Man” เสร็จ กลับออกมาจากอังกอร์ มาต่อกันอีกหลายเพลงเลยแหละ ทั้ง “Long Long Way” “Volcano” ที่พี่ข้าวเรียกให้ขึ้นไปข้างหน้า กองรวมกันใกล้ๆ เวที เราก็รีบวิ่งขึ้นไปเลยสิจะรออะไร จากนั้นก็ร่วมประสานไลน์เสียงพร้อมกับคนดูที่พี่ข้าวแบ่งท่อนให้ร้องไปตามทีละโซน กระซิบกระซาบกันจนจบเพลง
ต่อด้วย “The Greatest Bastard” และ รวมถึงเพลงชาติอย่าง “The Blower’s Daughter” ที่หลายคนรอคอย ท่อนที่สาว Lisa Hannigan ร้องไว้ “Did I say that I loathe you? Did I say that I want to Leave it all behind?” สาวๆ ในฮอลช่วยพี่ข้าวร้องออกมาได้เพราะจนขนลุก ช่วงนี้แหละเปิดมือถือ ถ่ายรูป อัดวิดีโอกันกระหน่ำ (ห้ามใจตัวเองไม่ไหวกันล่ะสิ) จบเพลงพี่ข้าว Good night เบาๆ ก่อนจะหายตัวเข้าหลังเวที เรายืนอังกอร์กันต่ออีกแปบนึง พี่ข้าวออกมาอีกจริงๆ แฮะ! แถมให้อีกเพลงเฉย แถมยังปิดท้ายด้วยประโยคเด็ดที่ทำเอาพวกเราในฮอลหัวใจพองโต “See you again next year”
ครั้งนี้ใครพลาด ครั้งหน้าอย่าพลาดละกัน นี่พูดเลย ต่อให้ต้องไปกางเต็นท์รอแบบติ่งเกาหลีก็จะทำ!
ขอขอบคุณ VIJI Corp
Story : Bella Luna