เนื้อหาในหมวด หนัง-ละคร

“อควาแมน” โดนตัดฉากยับ ใน Justice League

“อควาแมน” โดนตัดฉากยับ ใน Justice League

 

ดราม่าของ Justice League นั้นดูไม่มีท่าทีจะทุเลาลงสักเท่าไหร่ มิหนำซ้ำดูเหมือนประเด็นต่างๆที่แฟนหนังพยายามจะขุดคุ้ยเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ก็ยิ่งมีประเด็นให้หยิบเอามาพูดถึงมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

 

แน่นอนว่าคำวิจารณ์ในเชิงภาพรวมของหนังเรื่องนี้ อาจจะเรียกได้ว่าแตกซ่านกระเซ็นกันพอสมควรเพราะแฟนหนังเอง ก็เรียกได้ว่าเสียงแตกอยู่ไม่น้อย ส่วนบรรดานักวิจารณ์ก็ดูจะชิงชังหนังเรื่องนี้ซะส่วนใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามจุดร่วมประการหนึ่งที่แฟนหนังและนักวิจารณ์เหมือนจะเห็นตรงกันก็คือ ความไม่ลงตัวที่ปรากฏอยู่ในหนังนั้นเกิดขึ้นจากขั้นตอนการสร้างที่มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย

 

แม้ว่าเหตุการณ์ในหนัง Justice League จะเกิดขึ้นตามหลังจากหนัง Batman v Superman: Dawn of Justice ก็ตาม ซึ่งผลงานเรื่องดังกล่าวเป็นผลงานการกำกับของ “แซค ชไนเดอร์” ซึ่งเขาก็ยังกลับมาสานต่อในการกำกับ Justice League และบทภาพยนตร์นั้นเขียนโดยคริส เทอร์ริโอ แต่หลังจากทุกอย่างหลังจากการถ่ายทำทีมงานก็รู้ว่าในอนาคตนั้นอาจจะต้องมีการถ่ายทำซ่อมและเพิ่มเติมฉากเข้าไป

 

แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อแซค ชไนเดอร์ ต้องถอนตัวออกไปจากโปรเจ็คนี้เนื่องจากโศกนาฏกรรมในครอบครัว ส่งผลให้ จอซ วีดอน เข้ามารับช่วงต่อ แต่เขาก็มาพร้อมกับบทภาพยนตร์บางส่วน ทำให้หนังมีการถ่ายทำซ่อม และมีการทำโพสต์ โปรดักชั่นใหม่ ส่งผลให้สุดท้ายแล้วหนัง Justice League กลายเป็นส่วนผสมระหว่างผลงานของแซค ชไนเดอร์ เพิ่มเติมฉากที่ถ่ายทำใหม่เข้าไปโดยจอซ วีดอน และผลจากการผสมผสานครั้งนี้ สตูดิโอวอร์เนอร์ก็คาดหวังที่จะทำให้หนังมีโทนที่สว่างยิ่งขึ้น

 

 

แต่ความยาวของหนังก็เป็นหนึ่งในปัญหาที่บรรดาซีอีโอของวอร์เนอร์ดูจะไม่ปลื้มนักส่งผลให้ไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่หนังจะเข้าฉาย หนังเรื่องนี้จึงโดนส่งไปตัดต่อใหม่อีกครั้ง หลังจากที่หนังโดนลงดาบว่า “หนังเรื่องนี้ควรจะยาวไม่เกินสองชั่วโมง” และทุกอย่างก็ดูกระจ่างแจ้งยิ่งขึ้นเมื่อนักแสดงอย่าง “เจสัน โมมัวร์” เป็นคนออกมายืนยันเองว่าฉากที่เขาแสดงไว้ในเรื่องโดนตัดออกไปเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะฉากที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขา รวมไปถึงนักแสดงอีกคนอย่างวิลเลี่ยม เดโฟ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวละครสำคัญในพาร์ทของอควาแมน

 

เจสัน เปิดเผยว่า “เพราะนี่เป็นเรื่องราวของ Justice League หนังมีความจำเป็นที่จะต้องเล่าและแนะนำสามคาแรกเตอร์ใหม่อันประกอบไปด้วย อควาแมน เดอะ แฟลช และไซบอร์ก มีฉากจำนวนมากของพวกเราที่ไม่ได้อยู่ในหนัง ส่วนของผมมีส่วนที่ได้แสดงกับวิลเลี่ยม เดโฟ พาร์ทในดินแดนแอตแลนติส การขึ้นครองตำแหน่งพระราชาแบบไม่เต็มใจ แต่ที่โดนเอาออกก็เพราะว่าฉากเหล่านี้คนดูจะได้เห็นอยู่แล้วในหนัง Aquaman”

 

 

ถึงอย่างนั้นก็ตามประเด็นสำคัญอีกประการเกี่ยวกับ Justice League คือเรื่องราวพล็อตจุดกำเนิดของตัวละครใหม่อาจจะไม่ได้เชื่อมโยงกับพล็อตโดยรวมของหนัง การแยกออกไปเป็นเรื่องราวของใครของมันน่าจะดีกว่า และถึงแม้ว่าในหนังจะมีฉากที่อควาแมนต้องพบกับเมร่า (แอมเบอร์ เฮิร์ท) ใต้ท้องทะเล เพื่อจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวละครนี้ ก็เป็นหนึ่งที่ฉากที่ดูประดักประเดิดและชวนสับสน แต่ถ้าหากฉากนี้ตัวผู้กำกับจอซ วีดอน ยังเลือกจะใส่กลับเข้ามาในหนังแสดงว่ามีความเป็นไปได้ที่ว่าอาจจะมีการถ่ายทำและวางแผนเอาไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เช่นเดียวกับฉากที่เล่าเรื่องความเป็นมาคร่าวๆของ เดอะ แฟลช และ ไซบอร์ก

 

น่าเสียดายที่เราอาจจะไม่ค่อยได้เห็นฉากที่มีซีนของอควาแมนใน Justice League เท่าไหร่ แต่อดใจรอในปีหน้าในหนังเดี่ยว Aquaman ผลงานการกำกับของเจมส์ วาน ซึ่งน่าจะทำให้ตัวละครนี้มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น และแน่นอนว่าหลังจากที่แพตตี้ เจนกินส์กำกับ Wonder Woman ทำให้ตัวละครนี้โดดเด่นมากยิ่งขึ้นหลังจากที่เคยเปิดตัวไปใน Batman v Superman: Dawn of Justice มาแล้ว

 

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ Justice League เปิดตัวในอเมริกาเหนือ หนังทำรายได้ได้ต่ำกว่าที่สตูดิโอคาดการณ์ไว้มาก (รายได้เปิดตัว 94 ล้านเหรียญ) ยิ่งไปกว่านั้นนี่คือหนังในจักรวาลดีซีที่เปิดตัวน้อยที่สุดตั้งแต่ที่มีการรวมฮีโร่ดีซีไว้เลย

 

รายได้เปิดตัวของหนังดีซี

Man of Steel –103 ล้านเหรียญ

Batman v Superman: Dawn of Justice – 166 ล้านเหรียญ

Suicide Squad – 135 ล้านเหรียญ

Wonder Woman – 106 ล้านเหรียญ

Justice League – 94 ล้านเหรียญ

 

 

และเนื่องจากหนังมีต้นทุนในการสร้างอยู่ที่ประมาณ 300 ล้านเหรียญ ยังไม่รวมค่าทำการประชาสัมพันธ์หนังอีกราวๆ 150 เหรียญ  ทำให้หนังเรื่องนี้จะต้องทำเงินที่ราวๆ450 ล้านเหรียญ ถึงจะคุ้มต้นทุนในการสร้าง แต่ก็ยังถือว่าไม่ทำกำไร ถึงเวลานี้หนังทำเงินทั่วโลกไปที่ 332 ล้านเหรียญ ดังนั้นมีความเป็นไปได้อยู่ไม่น้อยที่ Justice League อาจจะมีโอกาสขาดทุน!

 

ทั้งหมดทั้งมวลอาจจะไม่ได้เป็นการชี้ชะตาว่านี่ถือช่วงเวลาที่หนังฮีโร่กำลังประสบปัญหา แต่น่าจะเป็นเพราะหนังค่อนข้างได้กระแสด้านลบจากบรรดาผู้ชมด้วยกันเอง แล้วคุณล่ะคิดว่า Justice League มีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้หนังเรื่องนี้ “ไม่ฮิต” อย่างที่ควรจะเป็น

 

 

 

The Batman กับการตีความใหม่ให้รัตติกาลนี้ยาวนานและมืดมิดกว่าที่เคย

The Batman กับการตีความใหม่ให้รัตติกาลนี้ยาวนานและมืดมิดกว่าที่เคย

การตีความใหม่กับเรื่องราวเดิมๆ ถือเป็นสิ่งที่วงการ “วรรณกรรม” ทั่วโลกต้องการ เพราะบางครั้งสิ่งที่ผู้ชมคุ้นเคย รู้จักกันดีอยู่แล้ว บางทีมันอาจจะมีแง่มุมที่น่าสนใจ รอคอยให้เราไปสำรวจตรวจตราอยู่เสมอๆ เช่นเดียวกันกับ The Batman ของผู้กำกับแมตต์ รีฟส์ ได้ปลดล็อคอะไรหลายๆอย่างในหนังซูเปอร์ฮีโร่

The Batman อีกครั้งกับการรีบูทจักรวาล \

The Batman อีกครั้งกับการรีบูทจักรวาล "นักสืบแห่งรัตติกาล"

The Batman นี่คือการกลับมาของหนังเดี่ยวของซูเปอร์ฮีโร่อย่าง “แบทแมน” ครั้งแรกในรอบเกือบสิบปี หลังจากที่ The Dark Knight Rises ของผู้กำกับคริสโตเฟอร์ โนแลน ในปี 2012 ได้ขึ้นจอใหญ่ไป และการกลับมาครั้งนี้ก็ไม่ธรรมดาเอาซะเลย

โกยเงินถล่มทลายทั่วโลก The Batman ผงาด ขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่ง

โกยเงินถล่มทลายทั่วโลก The Batman ผงาด ขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่ง

The Batman กลายเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ฟอร์มยักษ์เรื่องแรกในปี 2022 ที่เปิดตัวแรงถล่มทลาย หลังจากที่ปลายปีที่แล้ว Spider-Man: No Way Home ครองแชมป์หนังทำเงินสูงสุดในรอบปี 2021

เปิดคำวิจารณ์ Justice League เวอร์ชั่นใหม่ ดีงามจนอาจได้ดู Justice League Part 2

เปิดคำวิจารณ์ Justice League เวอร์ชั่นใหม่ ดีงามจนอาจได้ดู Justice League Part 2

หลังจากมหากาพย์อันแสนยาวนานและยืดเยื้อของ Justice League ที่ใครหลายคนได้ทราบกันไปแล้ว อย่างไรก็ตามนักวิจารณ์ที่ได้ชมเวอร์ชั่นล่าสุดต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มันคือหนังเวอร์ชั่นใหม่ที่โคตรดี!