DITP ยกทัพ 12 ค่ายเพลงไทยบุกไต้หวัน โชว์ศักยภาพ Soft Power ไทยในเวทีโลก
DITP ยกทัพ 12 ค่ายเพลงไทยบุกไต้หวัน สร้างเครือข่ายธุรกิจอุตสาหกรรมเพลง ตอกย้ำศักยภาพ Soft Power ไทยในเวทีโลก
ถือเป็นปรากฎการณ์ครั้งแรกของไทยเลยก็ว่าได้ เมื่อกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ยกทัพ 12 ค่ายเพลงไทย เช่น RATS RECORDS, Small Room, Sony Music Thailand, Warner Music Thailand, What The Duck, FRT Entertainment, Juicey, NEWECHOES, Parinam, Spicy Disc, Universal Music Thailand และ YUPP! Entertainment บุกไต้หวัน ในงาน Thai Music Meetup – Gan Bei ณ Zepp New Taipei เพื่อโชว์ศักยภาพศิลปิน-ค่ายเพลงไทยสู่ตลาดต่างแดน พร้อมสร้างเครือข่ายธุรกิจ และพันธมิตรไต้หวันอย่างเป็นรูปธรรม

นายทวีป ราชาภักดี ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาและส่งเสริมธุรกิจ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กล่าวถึงเป้าหมายของการจัดงาน Thai Music Meetup–Gan Bei ว่า ไต้หวันเป็นประเทศที่มีฐานแฟนเพลงที่ชื่นชอบดนตรีและศิลปินจากไทยพอสมควร โดยเฉพาะในสื่อออนไลน์ ที่สำคัญ แม้ไต้หวันจะจำนวนประชากร 23 ล้านคน แต่กำลังซื้อกลับสูงกว่าอินโดนีเซียที่มีประชากรกว่า 280 ล้านคน เพราะกลุ่มคนฟังเพลงหรือคนเสพคอนเทนต์บันเทิงเป็นกลุ่มที่มีเงิน

นายทวีป กล่าวเพิ่มเติมว่า เดิมทีภาคธุรกิจบริการที่เกี่ยวกับด้านเพลง รวมถึงซีรี่ส์วาย, มวย, เกม, อนิเมชั่น ฯลฯ หรือที่เรียกว่าคอนเทนต์ทั้งหมดที่อยู่ใน Soft Power เป็นธุรกิจที่ทางกรมฯ ยังไม่เคยเข้ามาดูแล แต่เมื่อมีคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติขึ้นมาก็ได้มอบให้ทางกรมฯ เป็นเจ้าภาพในการดูแล ซึ่งทางกรมฯ ก็นำมาบรรจุเป็นภารกิจเรียบร้อยแล้ว โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐ ดังนั้น เมื่อเป็นภารกิจของกรมฯ ต่อไปก็จะต้องมีกิจกรรมเกิดขึ้นทุกปีด้วย

จุดเด่นที่ทำให้อุตสาหกรรมบันเทิงไทยแตกต่างจากที่อื่นนั้น นายทวีป มองว่า น่าจะเป็นที่ตัวศิลปิน เป็นจุดได้เปรียบสำคัญ เช่น การเข้าถึงตัวศิลปิน, ความเป็นกันเองกับแฟนคลับ และความเป็นไทย นี่คือจุดขายด้วยเหตุนี้จึงกลายมาเป็น Soft Power Industry ซึ่งที่อื่นไม่สามารถเลียนแบบได้ ไม่ใช่แค่ในส่วนของดนตรี แต่รวมถึงไปซีรี่ส์ และภาพยนตร์ด้วยก็เช่นกัน

สำหรับงาน Thai Music Meetup–Gan Bei ไฮไลท์สำคัญ คือ Business Matching ระหว่างตัวแทนค่ายเพลงไทยและผู้ประกอบการดนตรีไต้หวัน ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสความร่วมมือและการขยายเครือข่ายทางธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม และความสำเร็จด้านการจัดกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจ (Business Matching) มีผู้ประกอบการไทย 12 ราย และผู้ประกอบการไต้หวัน 162 ราย รวม 163 คู่เจรจา มูลค่ารวมสูงถึง 763.05 ล้านบาท ดังนี้
- ผลการซื้อ-ขายทันที: 8.52 ล้านบาท
- คาดหวังมูลค่าซื้อ-ขายภายใน 1 ปี 218.33 ล้านบาท
- คาดหวังมูลค่าซื้อ-ขายภายใน 2-5 ปี 536.2 ล้านบาท
นี่แค่เฉพาะอุตสาหกรรมดนตรี ยังไม่รวมอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น การท่องเที่ยว สื่อและความบันเทิง เป็นต้น เสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการไทยชี้ว่า กิจกรดังกล่าวช่วยสร้างพันธมิตรทางธุรกิจและควรจัดอย่างต่อเนื่อง โดยเสนอขยายไปยัง ญี่ปุ่นและเกาหลี ขณะที่ผู้ประกอบการไต้หวันยืนยันว่าเห็นศักยภาพดนตรีไทยชัดเจน และมีแนวโน้มร่วมลงทุนจริงใน 1–3 ปี

ส่วนผู้ประกอบการไทยที่มีความสนใจและต่างประเทศนั้น นายทวีป มองว่า จำเป็นจะต้องมีประสบการณ์ในการไปแสดงในงานต่างประเทศมาก่อนไม่ว่าจะได้รับเชิญในลักษณะใดก็ตาม, การขายงานบนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีลูกค้าต่างประเทศติดตามอยู่แล้ว รวมถึงมีการซื้อขายเกิดขึ้นจริง และมีความพร้อมด้านกำลังทรัพย์ ในส่วนที่ผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบ เช่น ค่าตั๋วเครื่องบินและค่าที่พัก ซึ่งทางกรมฯ จะสนับสนุนในส่วนของสถานที่จัดงาน B2B และบางครั้งอาจรวมถึงการเช่ารถต่างๆ ด้วย

"งาน Thai Music Meetup – Gan Bei ครั้งนี้ ทางกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ให้การสนับสนุนราว 5-6 ล้านบาท หากเทียบกับมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับสูงถึง 500 ล้านบาท ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า" นายทวีป กล่าว
นอกจากนี้ นายทวีป ยังกล่าวถึงกรณีที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์กังวลถึงผลกระทบของ AI ที่จะเข้ามาแทนบทบาทนักแสดง หรือการผลิตว่า ขณะนี้ยังไม่มีทางออกที่ชัดเจนในระดับโลกว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งทางหน่วยงานก็ยังคงติดตามทิศทาง และหาแนวทางรับมือกับ AI ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย