รู้ทันกลโกง “แก๊งคอลเซนเตอร์” มีอะไรบ้าง พร้อมเผยวิธีจัดการหากหลงเชื่อ
แพลตฟอร์มระบุสายเรียกเข้าที่ไม่รู้จักและมิจฉาชีพ อย่าง Whoscall (ฮูคอล) ได้รายงานว่าในปี 2566 คนไทยได้รับสายและ SMS จากมิจฉาชีพเยอะที่สุดในเอเชีย โดยคิดเป็นเฉลี่ยคนไทย 1 คน ต้องรับ SMS ที่น่าสงสัย 20.3 ข้อความ ทำให้คนไทยมีความเสี่ยงสูงสุดในเอเชียที่จะถูกหลอกผ่านโทรศัพท์
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่ามีข่าวมิจฉาชีพหลอกโกงเงินเหยื่อแทบทุกวัน เพราะมิจฉาชีพหากลลวงใหม่ ๆ มาทำให้เราปวดหัวแทบทุกวัน
วันนี้ Sanook จึงเปิด 4 กลอุบายของมิจฉาชีพ หรือแก๊งคอลเซนเตอร์ว่ามีอะไรบ้าง รวมไปถึงเผยวิธีการแก้ไขหากเกิดหลงเชื่อโอนเงินหรือถูกดูดเงินไปต้องทำอย่างไร
1.หลอกว่าเราทำผิดกฎหมาย
หลายครั้งที่เหยื่อแก๊งคอลเซนเตอร์มักใช้การข่มขู่ให้เหยื่อเกิดความหวาดกลัว โดยผ่านการบอกเหยื่อว่า “เราทำผิดกฎหมายร้ายแรง” และมักปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมแจ้งให้เราโอนเงินไปให้ เพื่อจัดการคดี หรือตรวจเช็กว่าเราไม่ได้ทำจริง ๆ ซึ่งการใช้กลอุบายนี้ก็ทำให้เหยื่อรู้สึกกลัว กังวล และมีประสิทธิภาพในการตัดสินใจที่น้อยลง ทำให้เสี่ยงที่จะหลงเชื่อมิจฉาชีพ
ตัวอย่างคดีสำหรับกรณีนี้:
ปู่วัย 81 ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกเงิน 19 ล้าน จำนองบ้านอีก 3 ล้าน หมดตัวแถมเป็นหนี้
ในกรณีของคุณปู่วัย 81 ปี แก๊งคอลเซนเตอร์ใช้กลงอุบายอ้างว่าเป็นตำรวจ และอ้างว่า “คุณปู่พัวพันกับธุรกิจผิดกฎหมายอยู่ เนื่องจากพบว่าเป็นบัญชีของปู่เป็นบัญชีฝากเงินทุจริต จากการที่บัญชีธนาคารของปู่ถูกนำไปใช้” ด้วยเหตุนี้จึงขอให้ปู่แสดงความบริสุทธิ์ด้วยการโอนทรัพย์สินให้ตรวจสอบ อีกทั้งยังให้โอนเงินไปด้วย
สองพี่น้องตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกเงินกว่า 7 ล้านบาท
ผู้เสียหายได้รับโทรศัพท์ว่าอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่เครือค่ายโทรศัพท์และเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยแจ้งเธอว่ามีคนแอบอ้างหมายเลขบัตรประชาชนของเธอไปเปิดเบอร์โทรศัพท์ ทำให้เกิดเรื่องเสียหาย ทั้งยังมีประวัติและหมายศาลมาให้เธอดูอย่างชัดเจน จึงทำให้เธอตกเป็นเหยื่อ โอนเงินไปให้มิจฉาชีพ
2.หลอกเงินกู้ออนไลน์
ในบางกรณี พบว่ามีการหลอกว่าเป็นบริษัทกู้เงินออนไลน์ โดยอ้างว่าให้เหยื่อโอนเงินให้เป็นจำนวนหนึ่งก่อนถึงจะให้กู้เงินได้ ในกรณีนี้สามารถเห็นตัวอย่างได้จากข่าว “สองพี่น้องที่ถูกหลอกไป 7 ล้านบาท” สืบเนื่องจากข่าวนี้ เมื่อน้องถูกโกงไป คนพี่ก็เห็นใจเลยตัดสินใจกู้ออนไลน์ 1 ล้านบาท เธอถูกหลอกว่าเลขบัญชีที่กรอกเข้าไปในแอปผิดพลาด ทำให้เธอต้องโอนเงินเพื่อปลดล็อค เธอหลงเชื่อและถูกหลอกเงินไปจนหมด
3.หลอกว่าเป็นคนรู้จัก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นอีกกลอุบายที่พบได้บ่อย โดยมิจฉาชีพจะมาในลักษณะโทรมาและให้เราทายว่า เขาคือใคร พยายามพูดจาหว่านล้อมให้เรานึกให้ออกว่าใคร และหากเราเอ่ยชื่อคนรู้จักเราไปหนึ่งคน มิจฉาชีพก็จะทำเออออว่าตัวเองเป็นคนนั้น และขอยืมเงินเราในที่สุด ซึ่งมีหลายคนที่หลงกลและตกเป็นเหยื่อ
4.หลอกให้กดลิงก์
ถือเป็นอีกประเด็นที่พบได้บ่อยครั้ง ซึ่งมิจฉาชีพมักมาในรูปแบบส่งลิงก์มาให้เรากด ไม่ว่าจะผ่านทาง SMS หรือกล่องข้อความในโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ซึ่งเมื่อกดเข้าไปแล้วมิจฉาชีพจะสามารถควบคุมหน้าจอโทรศัพท์และดูดเงินจากบัญชีของเราได้
ตัวอย่างกรณีเช่น:
มีหนุ่มคนหนึ่งฝากประวัติไว้ในแอปพลิเคชั่นหางาน อ้างว่ามีงานมาเสนอ และส่งลิงก์มาเพื่อให้กดสมัครงาน โชคดีที่ชายคนนี้เอะใจ ไม่กดลิงก์ และนำเรื่องราวนี้มาเผยแพร่ให้เป็นอุทาหรณ์กับคนในโซเชียล
หากหลงกลเชื่อมิจฉาชีพ ทำอย่างไรได้บ้าง?
กรณีเผลอกดลิงก์
เพจเฟซบุ๊กของตำรวจสอบสวนกลาง ได้แนะนำหากพลาดกดลิงก์ปลอมควรทำอย่างไร โดยแนะนำดังนี
อีกทั้งยังเน้นย้ำว่าหากใครพบเจอลิงก์แปลกปลอม หรือเผลอกดลิงก์ไปแล้วและต้องการแจ้งความ สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนศูนย์ AOC 1441 ตลอด 24 ชั่วโมง
กรณีเผลอโอนเงินให้มิจฉาชีพหรือถูกดูดเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย แนะนำว่าหากเผลอโอนเงิน สามารถปฏิบัติได้ดังต่อไปนี้
อ่านข่าวเพิ่มเติม:
- ปู่วัย 81 ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกเงิน 19 ล้าน จำนองบ้านอีก 3 ล้าน หมดตัวแถมเป็นหนี้
- หนุ่มฝากประวัติในแอปฯ หางาน เอะใจ คนทักมาพิมพ์แปลกๆ ก่อนส่งลิงก์หลอกดูดเงิน
- สองพี่น้องตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกเงินกว่า 7 ล้านบาท วอนผู้เกี่ยวข้องช่วยเหลือ
- ทนายหนุ่มเทอุจจาระราดตัว หวังประท้วงธนาคาร หลังโดนแก๊งคอลฯ โกงกว่า 1 ล้าน