ลูกสาว 5 ขวบร้องไห้โฮ พนง.โวยเป็น "หัวขโมย" จะค้นตัวกลางห้าง แม่ตอบนิ่มๆ รีบสงบปาก!
แม่ใจเย็น รับมือแทนลูกวัย 5 ขวบถูกหาว่าขโมยของในซูเปอร์ฯ ชาวเน็ตยกเป็น “บทเรียนที่ควรอยู่ในหนังสือเรียน”
ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต เรามักเห็นหลายครอบครัวพาลูกเล็กๆ มาซื้อสินค้าด้วย เด็กอาจคิดว่าสามารถเลือกสิ่งที่พวกเขาชอบได้อย่างอิสระ แต่เด็กส่วนใหญ่ยังไม่มีแนวคิดเรื่องการใช้เงิน โดยคิดว่าพวกเขาสามารถหยิบอะไรก็ได้โดยไม่ต้องจ่าย นี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่น่าปวดหัวสำหรับผู้ปกครอง ดังเช่นกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศจีนเมื่อเร็วๆ นี้
เหตุการณ์เกิดขึ้นในซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งในเขตซินเจียง กลายเป็นประเด็นร้อนบนโซเชียลมีเดีย หลังจากผู้ใช้บัญชีชื่อว่า P. บนแพลตฟอร์ม Xiaohongshu ได้โพสต์เล่าเหตุการณ์ที่เธอประทับใจต่อการรับมือของเพื่อนสนิท ซึ่งเป็นคุณแม่ของเด็กหญิงวัย 5 ขวบที่ถูกพนักงานกล่าวหาว่าขโมยของ โดยเธอเรียกการรับมือของเพื่อนว่า “สมควรจารึกลงในหนังสือเรียน”
เหตุการณ์นี้ถูกเปิดเผยโดยผู้ใช้บัญชีชื่อว่า P. บนแพลตฟอร์ม Xiaohongshu และเกิดขึ้นที่ซูเปอร์มาร์เก็ตในซินเจียง ได้โพสต์เล่าเหตุการณ์ที่เธอประทับในตัวเพื่อนสนิท ซึ่งเป็นคุณแม่ของเด็กหญิงวัย 5 ขวบชื่อ “มินมิน” เมื่อลูกสาวถูกพนักงานกล่าวหาว่าขโมยของโดยเธอเรียกการรับมือของเพื่อนว่า “สมควรจารึกลงในหนังสือเรียน”
ความวุ่นวายเริ่มต้นขึ้นหลังจากสัญญาณเตือนดังทุกครั้งที่เธอเดินผ่านประตู ทันใดนั้น รปภ.ก็เข้ามาหาทันที และขอให้เธอหยุดเพื่อตรวจสอบ ขณะที่พนักงานแคชเชียร์ก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ลูกสาวของคุณขโมยของไป เราขอตรวจร่างกาย” แม้แม่จะยืนยันว่าจ่ายเงินครบแล้ว แต่พนักงานยังยืนกรานขอตรวจค้นตัวเด็กต่อหน้าคนจำนวนมาก จนทำให้เด็กหญิงร้องไห้ออกมาเสียงดัง
ขณะที่หลายคนคงโต้เถียงหรือโมโห แม่ของมินมินกลับตั้งสติ พูดกับเจ้าหน้าที่อย่างสุภาพว่า “ที่นี่เป็นที่สาธารณะ ลูกฉันยังเล็ก เป็นผู้หญิง จะตรวจค้นกลางแจ้งแบบนี้เหมาะหรือไม่” ก่อนขอให้พาไปพูดคุยในห้องส่วนตัว พร้อมเสนอว่าเธอจะเป็นคนตรวจลูกเอง
เมื่อได้อยู่ตามลำพัง แม่ค่อยๆ ถามลูกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ไม่มีการตะคอกหรือดุด่า เด็กหญิงไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหยิบของเล่นชิ้นเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋ากางเกง แม่ไม่ได้โกรธ แต่พูดเพียงว่า “แม่ไม่โกรธที่หนูทำผิด แต่แม่จะเสียใจถ้าหนูพยายามปิดบัง” และชวนลูกไปขอโทษพนักงานด้วยตัวเอง
เรื่องนี้ถูกนำมาเล่าในโซเชียลโดยเพื่อนของคุณแม่ ซึ่งชื่นชมว่า “เธอไม่ดุ ไม่ประจานลูก ไม่อ้างว่าเด็กไม่รู้เรื่อง แต่เลือกสอนลูกอย่างมีสติและความรัก” ชาวเน็ตจำนวนมากเห็นด้วย บางคนบอกว่า “นี่คือบทเรียนการเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง” และ “เด็กควรได้เรียนรู้จากความผิด ไม่ใช่ถูกทำให้รู้สึกอับอาย” เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นตัวอย่างของการเลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ และการสอนให้เด็กรู้จักรับผิดชอบโดยไม่ใช้ความรุนแรงหรือความอับอายเป็นเครื่องมือ
- แม่ขู่กลางห้าง "ถ้าดื้อจะไม่รัก" ลูกชาย 4 ขวบ ตอบประโยคเด็ด คนแห่ยกย่องความฉลาด
- เด็กหญิง 4 ขวบ เกือบถูกลักพาตัว แต่พูด 3 คำ โจรกลัวเผ่นหนี ผู้ใหญ่ยังชมไหวพริบดีมาก!
ทั้งนี้ มีอีกกรณีที่คล้ายคลึงกันอย่างมาก ซึ่งเคยเกิดกับเด็กชายวัย 4 ขวบ ที่แอบหยิบขนมใส่กระเป๋า ส่งผลให้สัญญาณร้องเตือน “ไม่จ่ายเงิน” ซุปเปอร์มาร์เก็ตจะปรับ 10 เท่า แต่คุณแม่ขอไม่จ่าย ให้เหตุผลโดนใจ!
ตามรายงานระบุว่า คุณแม่คนหนึ่งพาลูกชายวัย 4 ขวบ ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตในช่วงสุดสัปดาห์ เธอให้ลูกนั่งบนรถเข็นในระหว่างที่จับจ่ายซื้อของหลายอย่าง กระทั่งถึงเวลาชำระเงินที่แคชเชียร์เรียบร้อยแล้ว ในจังหวะที่กำลังจะเดินออกไปข้างนอก ก็มีเสียงสัญญาณที่ร้องแจ้งเตือนว่ามีของ “ค้างชำระ”
เจ้าหน้าที่ซูเปอร์มาร์เก็ตตรงเข้ามาตรวจสอบทันที โดยใช้วิธีเปรียบเทียบสิ่งของและใบเสร็จรับเงิน และพบว่าสินค้าทุกชิ้นถูกชำระเงินครบถ้วน จึงปล่อยให้เธอเดินผ่านเครื่องตรวจสอบอีกครั้ง คราวนี้เครื่องไม่ร้องแจ้งเตือนแล้ว ทุกคนคิดว่าน่าจะเป็นปัญหาของระบบที่ทำงานผิดพลาด แต่ในตอนที่ลูกชายเดินตามแม่ไปนั้นเอง เสียงแจ้งเตือนก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ปรากฎว่าลูกชายวัย 4 ขวบ หยิบช็อกโกแลตแท่งมาใส่ไว้ในกระเป๋าของตนเอง ผู้เป็นแม่ไม่ทราบจึงไม่ได้นำออกมาชำระเงินเธอรีบขอโทษเจ้าหน้าที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต และบอกว่าเธอจะจ่ายค่าขนมแท่งที่ลูกชายของเธอหยิบมา อีกทั้งยังสอนให้ลูกชายขอโทษทุกคนด้วย แต่ผลก็คือทางซุปเปอร์มาร์เก็ตตัดสินใจจะปรับเป็นจำนวน 10 เท่าของมูลค่าช็อกโกแลตแท่งนั้น
เมื่อเห็นทัศนคติของเจ้าหน้าที่ซูเปอร์มาร์เก็ต คุณแม่จึงตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ลูกไม่มีความรู้เรื่องเงิน ถือเป็นความผิดพลาดทางการสอนของฉัน ฉันสามารถชดเชยตามราคาของผลิตภัณฑ์ได้ แต่ยอมรับไม่ได้กับการปรับ 10 เท่า ซูเปอร์มาร์เก็ตไม่มีสิทธิ์กำหนดมาตรการเช่นนี้ หากคุณไม่ว่าอะไรก็สามารถแจ้งตำรวจเพื่อจัดการเรื่องนี้ได้”
คำตอบของคุณแม่ทำให้คนรอบข้างชื่นชม โดยคิดว่าคำพูดของเธอนั้นสมเหตุสมผล วิธีการนี้สมควรได้รับการยกย่อง เพราะมันมีคุณค่าทั้งในการให้ความรู้แก่เด็กๆ และให้ "เกียรติ" เพื่อปกป้องความภาคภูมิใจในตนเองของเด็กด้วย ท้ายที่สุดพนักงานซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ต้องคิดเงินตามมูลค่าของช็อกโกแลตแท่ง แล้วปล่อยให้แม่และเด็กกลับบ้านไป

ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่คล้ายกันนี้ พ่อแม่ควรสอนลูกอย่างไร?
1. ให้ความรู้แก่เด็กๆ ว่า “การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์” เป็นสิ่งที่เด็กๆ ต้องรู้ หากพาลูกไปซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของเป็นประจำและบอกพวกเขาว่า "ไม่สามารถเอาของไปโดยไม่จ่ายเงิน" โดยผู้ปกครองต้องเป็นตัวอย่างในการให้ความรู้แก่บุตรหลานด้วย
2. ปล่อยให้เด็กจ่ายเงินเองจำนวนเล็กน้อยจนเป็นนิสัย เพราะเด็กส่วนมากไม่รู้ว่าจะต้องจ่ายเงินเมื่อซื้อสินค้า เพราะไม่เคยต้องจ่ายเงินด้วยตัวเอง ดังนั้น ผู้ปกครองสามารถปล่อยให้บุตรหลานฝึกจ่ายเงิน เพื่อให้เข้าใจว่าพวกเขาจำเป็นต้องจ่ายเงินสำหรับสิ่งที่พวกเขาต้องการ
ในตอนแรกพ่อแม่สามารถเป็นแบบอย่างได้ เพราะเด็กชอบเลียนแบบพฤติกรรมผู้ใหญ่ และการจ่ายเงินทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ ต่อมาเมื่อเด็กๆ สามารถเข้าใจกฎเกณฑ์ได้ชัดเจน ว่าการชำระเงินเป็นสิ่งที่ต้องทำ พวกเขาจะจ่ายเงินให้แคชเชียร์ทันทีหลังจากซื้อของ
3. ปกป้องความภาคภูมิใจในตนเองของเด็ก เพราะไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือคนโต ทุกคนล้วนมีความนับถือตนเอง หากในที่สาธารณะ เด็กถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นขโมย มันจะทิ้งความมืดมิดทางจิตใจไว้ในใจเด็กได้อย่างง่ายดาย ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการด้านสุขภาพจิตของเด็กในอนาคต
ดังนั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นเรื่องราวข้างต้น สิ่งแรกที่พ่อแม่ควรทำคือปกป้องลูก ยอมรับความผิดพลาด ช่วยเด็กๆ ขจัดแนวคิดเรื่องการขโมย และพูดคุยทำความเข้าใจกับคู่กรณีว่า ”เด็กไม่อยากขโมย เขาแค่ไม่ได้รับการสอนเรื่องเงินจากฉัน” พร้อมสัญญาว่าจะให้ความรู้แก่ลูกให้ดีขึ้นในอนาคต จากนั้นต้องให้เด็กขอโทษด้วย