รู้ไว้ดีกว่า! 4 นิสัย "ตากผ้า" ที่เป็นอันตราย จะซักสะอาดแค่ไหน ก็ไม่ส่งผลดีต่อร่างกาย
4 นิสัยการตากผ้าที่เป็นอันตราย ต่อให้ซักสะอาดแค่ไหน แต่หากตากผ้าแบบนี้ก็จะเป็นการทำร้ายสุขภาพของตัวเอง
การตากผ้าอย่างไม่ถูกวิธีไม่เพียงทำให้อายุการใช้งานของเสื้อผ้าสั้นลง แต่ยังทำให้ร่างกายของเรารับสารพิษจากโรคต่างๆ ได้อีกด้วย
หลังจากซักผ้าเสร็จ การตากผ้าดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เราต้องทำเป็นประจำทุกวัน หลายคนอาจมองว่าแค่แขวนผ้าให้แห้งเป็นพอ แต่ในความเป็นจริง การตากผ้าที่ถูกต้องไม่เพียงช่วยยืดอายุของเสื้อผ้า แต่ยังช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่างๆ ได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่จะทราบวิธีตากผ้าอย่างถูกต้อง ต่อไปนี้คือ 4 นิสัยการตากผ้าที่เป็นอันตราย ไม่ว่าเสื้อผ้าจะสะอาดแค่ไหน แต่ถ้าตากผิดวิธี ก็อาจทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อโรคร้ายได้เช่นกัน
1. การตากผ้าในที่ร่ม
การตากผ้าในที่ร่มหมายถึงการปล่อยให้ผ้าแห้งในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเท โดยไม่ต้องโดนแสงแดดโดยตรง หลายคนชื่นชอบวิธีนี้เพราะช่วยถนอมเนื้อผ้าและทำให้แห้งได้อย่างเป็นธรรมชาติ
แต่การตากผ้าในที่ร่มต้องพึ่งพาสภาพอากาศ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น และการถ่ายเทอากาศ หากไม่เหมาะสม อาจทำให้ผ้าไม่แห้งสนิท กลายเป็นที่สะสมของความชื้นจนมีกลิ่นอับ และก่อให้เกิดการสะสมของแบคทีเรียและเชื้อรา ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อที่ผิวหนัง ทำให้เกิดอาการผื่นคัน หรือแพ้ได้ นอกจากนี้ เชื้อราหรือแบคทีเรียเหล่านี้อาจถูกสูดดมเข้าสู่ร่างกาย และส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจได้เช่นกัน
ดังนั้นหากมีโอกาส ควรตากผ้าให้โดนแสงแดดแทนการตากในที่ร่ม และในกรณีที่สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ควรเลือกใช้เครื่องอบผ้าเพื่อความสะอาดและปลอดภัยยิ่งขึ้น
2. การตากผ้าในบ้าน
หลายคนเลือกที่จะตากผ้าในบ้านด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ไม่มีพื้นที่กลางแจ้ง หรือเพราะตารางเวลาที่ยุ่งยาก
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยจากโรงเรียนสถาปัตยกรรม Mackintosh ในประเทศอังกฤษชี้ให้เห็นว่าการตากผ้าในบ้านสามารถเพิ่มความชื้นภายในบ้านได้ถึง 1 ใน 3 ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นหรือกำลังป่วยเป็นโรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ และไข้ละอองฟาง
จากการศึกษา พบว่าผ้าที่นำออกจากเครื่องซักผ้าสามารถปล่อยความชื้นระเหยออกมาได้ถึง 2 ลิตร และหากตากในบ้าน ความชื้นในบ้านจำนวนมากถึง 3 ใน 4 ของบ้านที่ถูกศึกษา อาจเพิ่มขึ้นจนเอื้อต่อการเจริญเติบโตของไรฝุ่นและสปอร์ของเชื้อรา ผลการสำรวจยังพบว่า 1 ใน 4 ของบ้านมีสปอร์เชื้อราที่ลอยอยู่ในอากาศ ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อในปอดได้
นอกจากนี้ กลิ่นหอมจากผลิตภัณฑ์ซักผ้าแท้จริงแล้วคือสารระเหยอินทรีย์ที่ปล่อยออกมาในอากาศ ซึ่งในพื้นที่ปิด อาจเป็นอันตรายต่อหัวใจ ปอด ตับ และอวัยวะอื่นๆ อีกทั้งหากสูดดมเป็นเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
ดังนั้นคำแนะนำคือหลีกเลี่ยงการตากผ้าในบ้าน หากไม่สามารถตากผ้ากลางแจ้งได้ ควรใช้เครื่องอบผ้าแทนเพื่อความปลอดภัยและสุขภาพที่ดีขึ้น
3. ทิ้งเสื้อผ้าที่ซักเสร็จไว้นานเกินไปก่อนตาก
หลังจากซักเสื้อผ้าหรือใส่เสื้อผ้าไว้ในเครื่องซักผ้า หลายคนอาจออกไปทำธุระหรือนอนพัก และรอจนถึงวันถัดไปค่อยนำเสื้อผ้าไปตาก
หากปล่อยให้เสื้อผ้าที่ซักแล้วอยู่ในกะละมังหรือเครื่องซักผ้า ความชื้นและความร้อนที่สะสมจะเอื้อต่อการเติบโตของจุลินทรีย์ เช่น แบคทีเรียและไวรัสได้ง่าย
งานวิจัยพบว่าในสภาพที่ชื้นและไม่มีการระบายอากาศ แบคทีเรียสามารถเติบโตเร็วขึ้นถึง 3-4 เท่า หมายความว่าการปล่อยเสื้อผ้าในกะละมังหรือเครื่องซักผ้าไว้นาน จะทำให้เชื้อแบคทีเรียและเชื้อราเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและก่อให้เกิดกลิ่นอับ ซึ่งอาจทำให้เสื้อผ้าสกปรกยิ่งกว่าเดิม
ดังนั้น ควรรีบนำเสื้อผ้าที่ซักเสร็จไปตากให้เร็วที่สุด โดยควรตากภายใน 3 ชั่วโมงหลังจากซักเสร็จ หากเกินกว่านี้ ควรนำเสื้อผ้ากลับมาซักใหม่เพื่อสุขอนามัยที่ดีขึ้น
4. การจัดลำดับการตากผ้าไม่ถูกต้อง
หลายคนมองว่าแค่ตากเสื้อผ้าหลังซักแล้วก็พอ โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับลำดับการแขวนผ้าเพื่อให้เหมาะสม
หากต้องการให้เสื้อผ้าแห้งเร็ว การจัดลำดับการแขวนผ้าถือว่าสำคัญ โดยแนะนำให้ใช้ "วิธีแขวนแบบตัววีคว่ำ" นั่นคือ แขวนเสื้อผ้าที่ยาวไว้ที่ปลายทั้งสองข้าง และเสื้อผ้าสั้นหรือชิ้นเล็กที่บางและแห้งง่ายไว้ตรงกลาง เพื่อให้เกิดรูปตัววีคว่ำ วิธีนี้ช่วยให้การระบายอากาศมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ไม่ควรแขวนผ้าให้หนาแน่นหรือเบียดชิดกันมากเกินไป เพราะแรงเสียดทานระหว่างผ้าอาจทำให้เสื้อผ้าเสียหายได้ โดยเฉพาะเนื้อผ้าที่บอบบาง เช่น ผ้าไหมและผ้าขนสัตว์ การจัดพื้นที่สำหรับตากผ้าให้มีการระบายอากาศที่ดีช่วยเร่งการระเหยของความชื้น ทำให้เสื้อผ้าแห้งเร็วขึ้นและลดโอกาสการเติบโตของเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ