เนื้อหาในหมวด ข่าว

แม่เอะใจ ลูกสาว 3 ขวบ กลัวการเข้าห้องน้ำ น้ำตาไหลเมื่อรู้ความจริง ต้นเหตุอยู่ที่รร.!

แม่เอะใจ ลูกสาว 3 ขวบ กลัวการเข้าห้องน้ำ น้ำตาไหลเมื่อรู้ความจริง ต้นเหตุอยู่ที่รร.!

เด็กหญิงวัย 3 ขวบ กลัวเข้าห้องน้ำ ชอบกลั้นปัสาวะ แม่ตกใจแทบช็อก ได้รู้ความจริงในวันหนึ่งที่ช่วยลูกช่วยถอดกางเกง

เว็บไซต์ SOHA ได้แชร์เรื่องราวของคุณแม่ชาวจีนรายหนึ่ง ซึ่งลูกสาววัย 3 ขวบ ของเธอ กลัวการเข้าโรงน้ำ และชอบกลั้นปัสาวะจนกระทั่งทนไม่ไหว จนกระทั่งวันหนึ่งที่เธอช่วยลูกถอดกางเกง จึงได้พบความจริงสุดช็อก ที่แท้สาเหตุที่ลูกกลัวการเข้าห้องน้ำมีสาเหตุมาจากที่โรงเรียน

เกิดอะไรขึ้นกับเด็กหญิงคนนี้?

คุณฟ่ง วัย 32 ปี จากประเทศจีน ได้โพสต์เล่าลงบนโซเชียลว่า "ฉันเป็นแม่ธรรมดาคนหนึ่งที่พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดสำหรับลูก แต่บางครั้งก็มีเรื่องที่เกิดขึ้นที่ไม่ว่าเตรียมตัวมากแค่ไหนก็ไม่สามารถคาดเดาได้

ลูกสาวของฉัน เป็นเด็กหญิงวัย 3 ขวบที่น่ารักและไร้เดียงสา เธอมักจะมีความสุขทุกครั้งที่กลับจากโรงเรียน แต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอกลับเปลี่ยนไป ทุกครั้งที่ฉันถามถึงวันในโรงเรียน เธอจะยิ้มแหยๆ หรือหลบเลี่ยงไม่อยากพูดถึง ฉันไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าเธออาจจะเหนื่อยหรือแค่ไม่อยากเล่า

แต่แล้ว ฉันเริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ ลูกสาวของฉันกลัวเข้าห้องน้ำ ทุกครั้งที่ฉันเตือนให้ไปห้องน้ำ เธอจะรีบตอบว่า "หนูไม่อยากไป" ทั้งที่ฉันรู้ว่าเธอกำลังพยายามกลั้นปัสสาวะเอาไว้ ตอนแรกฉันคิดว่าเธออาจจะท้องผูกหรือแค่ไม่ชอบห้องน้ำที่โรงเรียน

แต่ทุกอย่างกลับแย่ลงเรื่อยๆ เธอเริ่มกลั้นปัสสาวะหลายชั่วโมง บางครั้งทั้งวันก็ไม่ไปห้องน้ำ เมื่อเธอไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เธอจะตกอยู่ในสภาพตกใจ ร่างกายเกร็งและน้ำตาไหลพราก แต่ยังคงไม่ยอมเข้าไปในห้องน้ำ

ในฐานะแม่ ฉันไม่สามารถปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้ คืนหนึ่งฉันพยายามปลอบลูก "แม่จะช่วยหนูเอง แม่จะอยู่ข้างๆ หนู" ลูกสาวของฉันเงียบ แล้วกัดริมฝีปากด้วยความลังเล ก่อนจะพยักหน้าอย่างยากเย็น ฉันค่อยๆ ถอดกางเกงให้ลูกเหมือนทุกวัน แต่ในขณะนั้น ฉันตกใจสุดขีด บนผิวของลูกมีรอยช้ำและรอยขีดข่วนเล็กๆ ที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน มันชัดเจนว่าเกิดอะไรบางอย่างกับลูกที่ฉันไม่เคยรู้

ในขณะนั้น ลูกสาวของฉันก็ร้องเสียงดัง น้ำตาไหลพรากและหดตัวสั่นเหมือนใบไม้ในลมแรง หัวใจของฉันเหมือนจะหลุดออกจากอก ฉันโอบลูกไว้ในอ้อมแขน พยายามปลอบใจ แต่ลูกก็ยังคงร้องไห้ไม่หยุด

ฉันพยายามสงบสติอารมณ์ แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและความสับสน ทำไมลูกถึงมีปฏิกิริยาทางนั้น? เกิดอะไรขึ้นกับลูก? ฉันไม่อยากคิดต่อไป แต่ความรู้สึกไม่สบายใจในใจทำให้ฉันแทบหายใจไม่ออก

หลังจากพยายามปลอบลูกสักพัก ลูกก็ค่อยๆ หยุดร้องไห้ แต่ดวงตาของเธอยังคงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ฉันจึงลดเสียงลงถามว่า "ลูกสามารถบอกแม่ได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?" ตอนแรกลูกส่ายหัว แต่แล้วด้วยเสียงที่สั่นเครือ เธอก็เริ่มพูดออกมาเป็นประโยคสั้นๆ ถึงแม้ลูกจะยังเล็ก แต่คำพูดที่เรียบง่ายเหล่านั้นก็ทำให้ฉันเข้าใจว่าเธอได้เผชิญกับสิ่งที่น่ากลัวอะไรบางอย่าง

ลูกเล่าถึงครูคนหนึ่งที่โรงเรียน เรื่องการเข้าห้องน้ำ และความรู้สึกกลัว... ลูกเล่าว่าเมื่อก่อนเธอเคยทำพลาดและปัสสาวะเลอะกางเกง ทำให้ครูคนหนึ่งรู้สึกไม่พอใจ จากนั้นครูก็เริ่มบังคับให้ลูกเข้าห้องน้ำตามเวลาที่ครูกำหนด แม้ลูกจะไม่อยากไป หากลูกต่อต้าน ครูก็จะดุและตะโกนเสียงดังจนลูกตกใจ มีครั้งหนึ่งที่ลูกร้องไห้ ครูยังขู่จะลงโทษหนักกว่าถ้าลูกไปบอกใคร สิ่งที่ลูกเล่ามันเหมือนมีดที่บาดลึกลงในใจฉัน

ฉันโอบลูกไว้แน่น พยายามเก็บอารมณ์เพื่อไม่ให้ลูกเห็นว่าฉันกำลังสั่นกลัว สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัย ฉันรู้ดีว่าลูกยังเล็กเกินไปที่จะอธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แต่การตอบสนองของลูกก็แสดงให้เห็นทุกอย่างแล้ว

การเป็นแม่คือการเดินทางที่ยาวนาน และบางครั้งก็มีช่วงเวลาที่ทำให้ฉันตระหนักว่า บางครั้งความรักไม่ใช่แค่การกอดหรือปลอบโยน แต่คือความแข็งแกร่งที่จะปกป้องลูกให้ถึงที่สุด ฉันไม่รู้อนาคตจะเป็นอย่างไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันรู้แน่ๆ ฉันจะไม่ปล่อยให้ลูกต้องเผชิญกับความกลัวนี้เพียงลำพัง ฉันจะเป็นกำแพงที่มั่นคงที่สุดให้ลูกได้พิงเสมอ

เช้าวันถัดมา ฉันไปโรงเรียนพร้อมกับลูก โดยมีใจที่เต็มไปด้วยความกังวล ฉันขอพบครูประจำชั้นและผู้บริหารโรงเรียนเพื่อทำความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนแรกครูคนดังกล่าวปฏิเสธความรับผิดชอบ โดยบอกว่าเธอแค่ต้องการให้ลูกมีระเบียบวินัย แต่เมื่อฉันยืนกรานที่จะหาคำตอบ ผู้ปกครองคนอื่นๆ ก็เริ่มออกมาพูดถึงพฤติกรรมผิดปกติที่เกิดขึ้นกับลูกของพวกเขา หลังจากการอภิปรายหลายครั้ง โรงเรียนจึงเริ่มดำเนินการสืบสวนอย่างจริงจัง

ไม่กี่วันต่อมา ฉันได้รับการแจ้งว่า ครูคนนั้นถูกสั่งพักงานเพื่อให้การสืบสวนดำเนินต่อไป โรงเรียนยังยืนยันว่าจะเข้มงวดกับขั้นตอนการดูแลและเฝ้าระวังมากขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นกับเด็กคนอื่นอีก แม้ว่าหัวใจของฉันจะยังหนักอึ้ง แต่อย่างน้อย ฉันก็รู้ว่าได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง

ลูกสาวของฉันต้องการเวลาในการลืมความกลัว และฉันก็ต้องใช้เวลาในการเรียกความเชื่อมั่นกลับมาในสถานที่ที่เคยคิดว่าเป็นที่ปลอดภัยสำหรับลูก แต่ฉันเชื่อว่า ตราบใดที่มีแม่อยู่ข้างๆ ลูกจะค่อยๆ กลับมามีความไร้เดียงสาเหมือนเดิม"