.jpg)
ลูกสาว 3 ขวบ กลับจาก รร.หวีดร้องตัวสั่น “กลัวเข้าห้องน้ำ” แม่ถอดกางเกงดูร้องไห้โฮ
แม่เอะใจ ลูกสาว 3 ขวบ กลับมาจากโรงเรียน “ไม่ยอมเข้าห้องน้ำ” ถอดกางเกงตรวจดู ช็อกร่องรอยตามร่างกาย รู้ที่มายิ่งใจสลาย
กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมาก กรณีหญิงชาวจีนอายุ 32 ปี ได้แชร์เรื่องราวผ่านทาง 163.com โดยบอกว่า“ฉันเป็นแม่ธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกับคนอื่นๆ ที่พยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกทุกวัน แต่ก็มีบางเหตุการณ์ที่ไม่ว่าจะเตรียมตัวอย่างไรก็ยังไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้”
เธอเล่าว่า ตนเองมีลูกสาววัย 3 ขวบที่น่ารักและบริสุทธิ์ เมื่อไปโรงเรียนก็มักกลับบ้านมาอย่างมีความสุขเสมอ แต่ในช่วงสัปดาห์นี้ กลับดูมีพฤติกรรมแปลกๆ ทุกครั้งที่ถามถึงเรื่องที่โรงเรียน ก็จะแค่ยิ้มเขินๆ หรือเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ในตอนแรกเธอเองก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะคิดว่าบางทีลูกอาจจะเหนื่อยเล็กน้อย หรือเพียงแค่ไม่อยากเล่า
แต่แล้วเธอก็ตระหนักถึงสิ่งที่ผิดปกติ นั่นคือลูกกลัวการเข้าห้องน้ำ ทุกครั้งมักจะรีบพูดว่า “หนูไม่ปวดห้องน้ำ” แต่เธอรู้ว่าลูกกำลังพยายามกลั้นเอาไว้ก็ตาม โดยเข้าใจว่าอาจจะท้องผูกหรือไม่ชอบเข้าห้องน้ำที่โรงเรียน อย่างไรก็ตาม เรื่องราวค่อยๆกลายเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากขึ้น….
ลูกเริ่มกลั้นมันไว้เป็นเวลาหลายชั่วโมง บางครั้งก็ตลอดทั้งวัน และเมื่อไม่อาจกลั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป เขาจะตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนก เตรียมตัวรับมือ น้ำตาไหลนองหน้า แต่ยังคงปฏิเสธที่จะไปห้องน้ำโดยเด็ดขาด ผู้เป็นแม่ไม่สามารถยืนดูเฉยๆ ได้อีกต่อไป เย็นวันหนึ่งจึงพยายามเกลี้ยกล่อมหาต้นตอของปัญหาจากลูกสาว
เธอเริ่มด้วยการพูดเบาๆ ว่า “แม่จะช่วยลูกเอง โอเคไหม แม่จะอยู่ที่นี่กับลูก” ลูกสาวฟังแล้วก็เงียบ กัดริมฝีปากอย่างลังเลจากนั้นพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ ตอนนั้นเองเธอจีงถอดกางเกงของลูกออกอย่างอ่อนโยนเหมือนที่ทำทุกวัน แต่แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นรอยฟกช้ำและรอยขีดข่วนเล็กๆ บนผิวหนังของลูก ซึ่งเธอไม่เคยเห็นมาก่อน
แน่นอนว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับลูกสาวโดยที่เธอไม่รู้ ทันใดนั้น ลูกสาวก็กรี๊ดร้อง สะอื้นไห้ และขดตัวสั่น ทำให้หัวใจของคนเป็นแหม่ยิ่งแตกสลาย แม้เธอจะอุ้มลูกขึ้นมาปลอบใจ แต่เด็กน้อยก็ยังไม่หยุดร้องไห้ ในตอนนั้นเธอพยายามที่จะสงบสติอารมณ์ แต่แท้จริงเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและสับสน ทำไมลูกถึงมีปฏิกิริยาแบบนั้น? เกิดอะไรขึ้นกับลูก? ความไม่สบายในใจทำให้รู้สึกแทบจะหายใจไม่ออก
หลังจากปลอบโยนอยู่พักใหญ่ เด็กน้อยก็ค่อยๆ หยุดร้องไห้ แต่ดวงตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความกลัว ผู้เป็นแม่จึงลดเสียงลงแล้วถามว่า "ลูกบอกแม่ได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?" ตอนแรกเด็กน้อยส่ายหัว แต่แล้วก็พึมพำประโยคที่ไม่สมบูรณ์ด้วยน้ำเสียงสั่นเทา แม้จะฟังไม่ได้ใจความนัก แต่ก็ทำให้เชื่อว่าต้องผ่านเรื่องเลวร้ายบางอย่างมา ผู้เป็นแม่จึงพยายามนึกถึงเรื่องที่จะเป็นไปได้ กระทั่งพบความจริงอันโหดร้าย…
ลูกของเธอเคยพูดถึงคุณครูที่โรงเรียน ในเรื่องเกี่ยวกับการไปห้องน้ำ และเกี่ยวกับการรู้สึกกลัว... จึงค่อยๆ ถามจนรู้ว่า ครั้งหนึ่งลูกสาวเคยเข้าห้องน้ำโดยที่ยังไม่ได้ถอดกางเกง ทำให้คุณครูรู้สึกหงุดหงิด ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มบังคับให้ไปเข้าห้องน้ำตามเวลาที่กำหนดเท่านั้น แม้ว่าเด็กจะไม่ต้องการก็ตาม และหากขัดขืนจะดุ ถึงขั้นตะโกนเสียงดังจนตกใจกลัว และมีครั้งหนึ่งที่ร้องไห้ออกมา ก็โดนครูขู่ว่าถ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร จะถูกลงโทษรุนแรงขึ้น
ทุกคำที่ลูกพูดเหมือนมีมีดแทงเข้าไปในหัวใจของแม่ เธออุ้มลูกน้อยไว้แน่น พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้ลูกเห็นว่าแม่กำลังตัวสั่น เวลานี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัย เพราะเธอรู้ว่าตอนนี้ลูกยังเด็กเกินไปที่จะแสดงออกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างเต็มที่ แต่ปฏิกิริยาที่เห็นนั้นก็ได้บอกทุกอย่างแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น เธอตัดสินใจไปโรงเรียนพร้อมกับลูก ขอพบครูประจำชั้นและอาจารย์ใหญ่เพื่อชี้แจงเรื่องนี้ ในตอนแรกครูได้ปฏิเสธความรับผิดชอบ โดยบอกว่าเธอเพียงต้องการให้เด็กสร้างนิสัยที่ดีเท่านั้น แต่เมื่อเธอยังคงเผชิญหน้ากับเรื่องนี้อย่างไม่ลดละ ผู้ปกครองคนอื่นๆ ก็เริ่มนึกถึงสัญญาณที่ผิดปกติในตัวลูกๆ ของพวกเขาด้วย หลังจากมีการถกเถียงกันมากขึ้น ในที่สุดโรงเรียนก็ได้เปิดการสืบสวนที่จริงจังเสียที
และไม่กี่วันต่อมา เธอก็ได้รับแจ้งว่าครูคนนี้ถูกพักงานเพื่อรอการสอบสวน โรงเรียนยังให้คำมั่นที่จะเข้มงวดกับกระบวนการตรวจสอบ เพื่อให้แน่ใจว่าเหตุการณ์ที่คล้ายกันจะไม่เกิดขึ้นกับเด็กคนอื่นอีก
ท้ายที่สุดผู้เป็นแม่เปิดใจถึงเรื่องนี้ว่า “แม้ว่าใจฉันจะยังหนักอึ้งอย่างน้อยฉันก็รู้ว่าฉันทำสิ่งที่ถูกต้อง… ลูกสาวของฉันต้องใช้เวลาในการเอาชนะความกลัวของตัวเอง และฉันต้องใช้เวลาสักพักเพื่อเรียกความไว้วางใจในสถานที่ที่ฉันเคยคิดว่าปลอดภัยสำหรับลูกกลับมา แต่ฉันเชื่อว่าตราบใดที่ลูกมีแม่อยู่เคียงข้าง ลูกจะค่อยๆ กลับมาสดใสไร้เดียงสาเหมือนอย่างเคยอีกครั้ง”
การเป็นแม่เป็นการเดินทางอันยาวนาน และช่วงเวลาเช่นนี้ก็ทำให้ตระหนักว่าบางครั้งความรักไม่ได้หมายถึงการกอดหรือการปลอบโยนเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงการเข้มแข็งเพียงพอที่จะปกป้องลูกจนถึงวินาทีสุดท้ายอีกด้วย แม้ไม่รู้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เป็นแม่รู้แน่ๆ คือจะไม่ปล่อยให้ลูกต้องเผชิญกับความกลัวเพียงลำพัง แต่จะเป็นกำแพงที่แข็งแกร่งที่สุด เพื่อให้ลูกสามารถพึ่งพาได้ตลอดเวลา