
สาวอายุแค่ 21 ป่วยตับวายระยะ 4 เตือนเป็นอุทาหรณ์ "ตอนเช้า" อย่าทำแบบนี้!
สาวอายุน้อยป่วยตับวายระยะ 4 เตือนเป็นอุทาหรณ์ 5 พฤติกรรมทำลายตับ โดยเฉพาะตอนเช้าอย่าทำแบบนี้!
Soha รายงานว่า ผู้ป่วยเป็นชาวจังหวัดนามดิงห์ ประเทศเวียดนาม ไม่เคยตรวจสุขภาพมาก่อน จนกระทั่งมีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง คลื่นไส้ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว และหมดสติจนต้องเข้าห้องฉุกเฉิน แพทย์ตรวจพบว่าเธอป่วยเป็นโรคตับวายระยะที่ 4 จากการละเลยพฤติกรรมการกินที่ดูเหมือนไม่มีผลเสีย แต่แท้จริงแล้วเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก
เธอเล่าว่าในช่วง 6 เดือน น้ำหนักลดไป 15 กิโลกรัม รู้สึกอ่อนเพลีย หน้ามืด และไม่ค่อยอยากอาหาร สาเหตุหลักมาจากการไม่รับประทานอาหารเช้าเป็นประจำ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ทำให้ตับถูกทำลายอย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้ตัว
พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพตับ
งดอาหารเช้าเป็นเวลานาน
-
ตับต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
-
กระตุ้นฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) ส่งผลเสียต่อตับและระบบเผาผลาญ
เลือกอาหารเช้าที่มีไขมันสูง เช่น ของทอด ไส้กรอก
-
เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคไขมันพอกตับ (NAFLD)
-
ทำให้ตับอักเสบหรือเกิดภาวะตับแข็งในระยะยาว
กินยาและอาหารเสริมขณะท้องว่าง
-
ยาบางชนิด เช่น พาราเซตามอล ยาแก้อักเสบ NSAIDs หากรับประทานผิดเวลา อาจทำให้ตับเสียหาย
-
ข้อมูลจากวารสาร Liver International ระบุว่า 25% ของผู้ป่วยตับอักเสบเฉียบพลันเกี่ยวข้องกับการใช้ยาผิดวิธี
ขาดการออกกำลังกาย โดยเฉพาะช่วงเช้า
-
ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานช้าลง ส่งผลให้ตับทำงานหนักขึ้น
-
การเคลื่อนไหวเบา ๆ เช่น เดินเล่น โยคะ ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดและขับสารพิษออกจากตับ
นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ
-
กระทบต่อระดับน้ำตาลและฮอร์โมนความเครียด
-
ตับมีบทบาทสำคัญในการซ่อมแซมร่างกายตอนกลางคืน
วิธีเริ่มต้นเช้าวันใหม่อย่างถูกต้องเพื่อดูแลตับ:
-
ดื่มน้ำอุ่นทันทีหลังตื่นนอน ช่วยกระตุ้นระบบย่อยและการขับสารพิษ
-
ทานอาหารเช้าที่มีโปรตีนดี ไขมันต่ำ ใยอาหารสูง เช่น ไข่ต้ม นมถั่วเหลือง โยเกิร์ตไม่หวาน
-
หลีกเลี่ยงของทอด ของมัน
-
เคลื่อนไหวร่างกายเบา ๆ อย่างน้อย 5-10 นาที หลังตื่นนอน
-
ปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานยาและอาหารเสริม โดยเฉพาะเมื่อท้องว่าง
บทเรียนจากกรณีนี้คือ โรคตับวายไม่ใช่เรื่องไกลตัว โดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มสาวที่มักละเลยพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การงดอาหารเช้า นอนดึก หรือกินยาผิดเวลา ดังนั้นการดูแลตับอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ควรรอให้มีอาการรุนแรงจึงจะเริ่มดูแลตัวเอง