
อาหารเสริมที่คนไทยคุ้นเคย หญิงอเมริกันกินตามโฆษณา 2 เดือน ตับถูกทำลายรุนแรง
อาหารเสริมสมุนไพรที่คนไทยคุ้นเคย หญฺิงอเมริกันกินตามโฆษณา 2 เดือน ตับถูกทำลายรุนแรง
ขมิ้นชัน สมุนไพรที่คนไทยคุ้นเคยและนิยมใช้มาอย่างยาวนาน ปัจจุบันถูกนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมากมาย แต่การใช้ในปริมาณสูงหรือไม่ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้
NBC News รายงานกรณีของ Katie Mohan หญิงวัย 57 ปี จากสหรัฐฯ ที่เกิดอาการตับถูกทำลายอย่างรุนแรง เนื่องจากเธอกินแคปซูลขมิ้นชันในปริมาณสูงทุกวันเป็นเวลานานถึง 2 เดือน
เริ่มต้นจากอาการปวดข้อและเชื่อในประโยชน์ของขมิ้น
Mohan มีอาการปวดข้อ และได้เห็นคนดังในโซเชียลมีเดียพูดถึงประโยชน์ของขมิ้นชันในการลดการอักเสบ จึงตัดสินใจซื้อแคปซูลขมิ้นมาทานทุกวัน โดยไม่คาดคิดว่าจะเกิดผลข้างเคียงรุนแรงตามมา
หลังจากทานไปไม่กี่สัปดาห์ Mohan เริ่มมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อ่อนเพลีย และน้ำปัสสาวะมีสีเข้ม แม้จะดื่มน้ำมากขึ้น แต่เธอไม่ได้เชื่อมโยงอาการเหล่านี้กับการทานขมิ้น
ตรวจพบเอนไซม์ตับสูงเกินปกติถึง 60 เท่า
หลังจากดูข่าวเตือนเรื่องตับเสียหายจากอาหารเสริม Mohan จึงไปพบแพทย์ ผลตรวจเลือดพบว่าเอนไซม์ตับของเธอสูงกว่าค่าปกติถึง 60 เท่า และตับได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง
การรักษาและคำเตือนจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ดร. Nikolaos Pyrsopoulos จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กระบุว่า อาการของ Mohan รุนแรงมาก ใกล้ถึงขั้นต้องปลูกถ่ายตับ เธอได้รับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลา 6 วัน พร้อมยาฉีดทางหลอดเลือดดำเพื่อฟื้นฟูตับ
ในช่วงหลังๆ มีรายงานการเกิดตับเสียหายจากการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสมุนไพรเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะขมิ้นซึ่งมักถูกใช้ลดการอักเสบและปวดข้อ แต่กลับเป็นสาเหตุหนึ่งของตับอักเสบและตับเสียหายในสหรัฐฯ
สถิติและงานวิจัยเกี่ยวกับอันตรายของสมุนไพรและอาหารเสริม
งานวิจัยพบว่า ตั้งแต่ปี 1995-2020 อัตราการล้มเหลวของตับและการปลูกถ่ายตับที่เกี่ยวข้องกับอาหารเสริมเพิ่มขึ้นถึง 8 เท่า และ 20% ของกรณีพิษต่อตับมาจากสมุนไพรและอาหารเสริม
ดร. Dina Halegoua-De Marzio เตือนว่า “ธรรมชาติไม่ได้หมายความว่าปลอดภัยเสมอไป” โดยขมิ้นปลอดภัยเมื่อนำมาใช้เป็นเครื่องปรุงอาหารในปริมาณน้อย แต่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิดมีขมิ้นสูงถึง 2,000 มิลลิกรัม ซึ่งอาจก่ออันตรายได้
แม้ว่าตับจะมีความสามารถฟื้นฟูตัวเองได้ในบางกรณี แต่ Mohan ให้คำแนะนำว่า “ฉันจะไม่ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใดๆ ด้วยตัวเองอีกต่อไป” เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นอีก