"ตุ๊กตาตัวนั้นมองหนูอีกแล้ว" แม่คิดว่าลูกพูดเล่น วันรุ่งขึ้นพาไปรพ. รู้ความจริงทำขนลุก
“แม่จ๋า ตุ๊กตาตัวนั้นมันมองหนูอีกแล้ว” แม่คิดว่าลูกแค่พูดเล่น แต่วันรุ่งขึ้นกลับต้องพาไปโรงพยาบาล รู้ความจริงทำเอาเธอขนลุก
จากนิสัยเล็ก ๆ ที่แม่คิดว่าไม่เป็นอันตราย กลับทำให้ลูกสาววัย 5 ขวบต้องเผชิญกับความหวาดผวาจนมีไข้
เมื่อไม่นานมานี้ นางสาวอู๋ นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน สังเกตเห็นลูกสาวมีพฤติกรรมผิดปกติ ช่วงกลางคืน เด็กหญิงมักรีบวิ่งเข้ามาหาพ่อแม่ พูดจาเลอะเลือน และปฏิเสธที่จะกลับไปนอนที่ห้องของตนเอง ยืนกรานว่าจะนอนกับพ่อแม่เท่านั้น
คืนหนึ่ง นางอู๋พยายามอุ้มลูกกลับไปที่เตียงของเธอ แต่เด็กน้อยร้องไห้ไม่หยุด สุดท้ายจึงยอมให้แม่นอนอยู่ข้าง ๆ จนเธอหลับสนิท ระหว่างนั้น เด็กหญิงพูดประโยคหนึ่งที่ทำเอาผู้เป็นแม่ถึงกับขนลุก
“แม่จ๋า... ตุ๊กตาตัวนั้นมองหนูอีกแล้วนะ”
นางอู๋คิดเพียงว่าลูกพูดไปเรื่อย จึงไม่ได้ใส่ใจนัก รอจนลูกหลับสนิทแล้วจึงลุกออกจากห้องไป
เช้าวันรุ่งขึ้น เด็กหญิงมีไข้สูงต่อเนื่อง อ่อนเพลีย และซึมลงอย่างชัดเจน นางอู๋ตกใจรีบนำลูกไปโรงพยาบาล แพทย์ตรวจร่างกายแล้วอธิบายว่า อาการไข้เกิดจากความหนาว ความหวาดกลัว และการพักผ่อนไม่เพียงพอรวมกัน
เมื่อได้ยินดังนั้น นางอู๋สงสัยว่า “ทำไมลูกถึงกลัวขนาดนี้?” ตามคำแนะนำของแพทย์ เธอจึงเริ่มสอบถามลูก และค่อย ๆ ค้นพบสาเหตุ ในวันเกิด ครอบครัวซื้อของขวัญเป็นตุ๊กตาหนึ่งตัวให้ลูก ซึ่งมีลักษณะคล้ายเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ และเด็กมักเก็บไว้ในห้องตลอดคืน
นอกจากนี้ นางอู๋มีนิสัยฟังนิทานเสียงจากโทรศัพท์ก่อนนอน เมื่อไม่นานมานี้ เธอเปลี่ยนไปฟังเรื่องสยองขวัญ ซึ่งมีตอนเกี่ยวกับตุ๊กตาผี เธอคิดว่าลูกหลับสนิทแล้วจึงฟังอย่างสบายใจ โดยไม่คาดคิดว่าเด็กหญิงยังคงได้ยินทุกคำ
ผลปรากฏว่า เด็กหญิงยังตื่นอยู่และได้ยินรายละเอียดที่น่ากลัวเหล่านั้น ด้วยจินตนาการอันกว้างไกลของเด็ก เรื่องราวผีสยองกลายเป็น “ความจริง” ในสายตาของเธอ
เมื่อเรื่องสยองกลายเป็นความหลอน
ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเด็กชี้ว่า เด็กอายุ 3–7 ปี มีจินตนาการอันอุดมสมบูรณ์ แต่ความสามารถในการแยกแยะจริง–ไม่จริงยังจำกัด รายละเอียดน่ากลัวหรือภาพน่าสะพรึงที่ได้ยินหรือเห็น อาจฝังลึกในความทรงจำ กลายเป็นความหลอน และอาจพัฒนาเป็นความกลัวที่ยาวนานหลายปี
ในกรณีนี้ “ตุ๊กตาผี” จากเรื่องสยองที่แม่ฟัง กลายเป็นภาพชัดเจนในจิตใจเด็ก ทุกคืนเมื่อมองไปรอบ ๆ ห้อง เด็กเหมือนเห็นสายตาของตุ๊กตาคอยจับจ้องตัวเอง ความรู้สึกนี้สร้างความตึงเครียด รบกวนการนอน ส่งผลให้เด็กอ่อนเพลียและมีไข้สูง
เรื่องราวเช่นนี้ไม่ใช่กรณีเดียว พ่อแม่หลายคนมีนิสัยดูหนังสยอง ฟังนิทานผี หรือพูดถึงเรื่องน่ากลัวต่อหน้าลูก โดยคิดว่าเด็ก “ไม่เข้าใจหรอก” แต่ความจริงคือ เด็กเข้าใจมากกว่าที่ผู้ใหญ่คิด และไวต่ออิทธิพลจากสิ่งรอบตัวมากกว่าผู้ใหญ่เสียอีก
ผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ได้แก่
- ความผิดปกติในการนอนหลับ: เด็กนอนหลับยาก ฝันร้ายบ่อย ตื่นกลางดึกพร้อมร้องไห้และตื่นตกใจ
- ความวิตกกังวลและความหลอน: จินตนาการยังไม่เจริญเต็มที่ทำให้เด็กเชื่อเรื่องผี ส่งผลให้เกิดความหลอนยาวนาน
- ผลกระทบต่อสุขภาพ: ความเครียดทางจิตใจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เด็กป่วยง่าย มีไข้ หรือปัญหาระบบย่อยอาหาร
- ผลกระทบทางจิตใจระยะยาว: บางเด็กเมื่อโตขึ้นยังคงมีความกลัวแฝง ส่งผลต่อบุคลิกภาพ ความมั่นใจ และทักษะทางสังคม
ปลูก “เมล็ดพันธุ์เชิงบวก” แทนเรื่องสยอง
ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาแนะนำว่า แทนที่จะให้เด็กฟังหรือเผชิญเรื่องน่ากลัว พ่อแม่ควรเลือกนิทานพื้นบ้าน เรื่องราวคุณธรรม หรือเรื่องสั้นเชิงบวก เรื่องราวที่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นไม่เพียงเสริมสร้างจินตนาการ แต่ยังช่วยให้เด็กมีความเมตตา ความกล้าหาญ และความคิดเชิงบวก
โดยเฉพาะในช่วงก่อนนอน พ่อแม่ควรสร้างบรรยากาศที่สงบและปลอดภัยให้ลูก เช่น นิทานคลาสสิกที่คุ้นเคย การกอด หรือคำอวยพรให้หลับฝันดี สิ่งเหล่านี้คือ “ยานอนหลับ” ตามธรรมชาติ ช่วยให้เด็กนอนหลับสบายและเติบโตอย่างมีสุขภาพดี
จากนิสัยเล็ก ๆ ที่แม่คิดว่าไม่เป็นอันตราย กลับทำให้ลูกสาววัย 5 ขวบต้องเผชิญความหวาดกลัวจนมีไข้ นี่คือบทเรียนสำคัญสำหรับพ่อแม่ทุกคน สิ่งแวดล้อมทางจิตใจที่เด็กได้รับ มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ จงให้วัยเด็กของลูกเต็มไปด้วยความทรงจำที่งดงาม แทนที่จะปลูกฝังความหวาดกลัวจากเรื่องเล่าสยอง
