พิธีกรรมแปลก! 'สวดศพตุ๊กตา' วัดดังจัดให้ เจ้าของอยากทิ้งแต่อาลัยรัก เชื่อมีจิตวิญญาณ
พิธีสวดอุทิศแด่ตุ๊กตา พิธีกรรมแปลกในโอซากา ส่งจิตวิญญาณของตุ๊กตาและของเล่นกว่า 50,000 ชิ้น ไปพักผ่อน
เคยไหม ของเล่นชิ้นเก่าเน่าสุดๆ อยากทิ้งแต่ก็ทำใจให้มันไปอยู่ในถังขยะไม่ลง เพราะความผูกพันและความทรงจำที่มีมากมาย ปัญหานี้มีคนแก้ให้แล้ว แต่อาจต้องเสียเงินเล็กๆน้อยๆ เพื่อนำพวกมันเข้าพิธี 'สวดศพตุ๊กตา' ทิ้งข้อความสุดท้ายก่อนโบกมือลา
ที่เมืองยาโอ จังหวัดโอซากา วัดชินกูจิ ซึ่งก่อตั้งตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 17 ได้กลายเป็นสถานที่จัด พิธีอุทิศตุ๊กตา ประจำปี ที่มีการรวมตุ๊กตาและของเล่นยัดนุ่นจำนวนมากเพื่อทำพิธีอุทิศและส่งไปสู่การพักผ่อนพิธีนี้ไม่ใช่การตอบสนองต่อภัยพิบัติ แต่เป็นประเพณีท้องถิ่นที่เกิดจากความผูกพันทางอารมณ์ของผู้คนต่อของเล่นในวัยเด็ก

ต้นกำเนิดและแนวคิดของพิธี
พิธีอุทิศตุ๊กตาจัดขึ้นโดยบริษัทรับจัดงานศพท้องถิ่น ฮักโคเด็น (Hakkoden) ซึ่งเริ่มจัดมาตั้งแต่มีผู้นำตุ๊กตาเก่า ๆ มาติดต่อขอทางเลือกในการส่งจากลาแทนการทิ้งแบบไร้พิธีการ แนวคิดนี้ได้รับการตอบรับจึงกลายเป็นกิจกรรมประจำปีที่จัดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง

จำนวนตุ๊กตาและการจัดพิธีในปัจจุบัน
ในปีแรกมีตุ๊กตาประมาณ 3,000 ตัวเข้าร่วม แต่ในปี 2024 มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นราว 50,000 ตัว ตุ๊กตาและของเล่นจะถูกนำมาจัดเรียงอย่างเคารพที่หน้าโถงพิธีของห้องจัดงานศพมินามิ อูเอมัตสึ โดยเจ้าของสามารถนำมาตั้งแต่หนึ่งสัปดาห์ก่อนพิธีหรือส่งทางไปรษณีย์ได้
ขั้นตอนและการมีส่วนร่วมของเจ้าของ
สำหรับตุ๊กตาแต่ละชิ้น เจ้าของจะสามารถเขียนข้อความอำลาลงบนกระดาษแผ่นเล็ก ๆ เพื่อแนบกับตุ๊กตาได้ระหว่างพิธี ผู้ร่วมงานยังสามารถถวายธูปเป็นการแสดงความเคารพ พิธีมีรูปแบบการสวดและการปฏิบัติแบบพุทธที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและให้เกียรติแก่สิ่งของที่เคยสร้างความทรงจำให้กับผู้คน
ปัจจุบัน พิธีดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ตุ๊กตาถูกส่งมาร่วมจากทั่วจังหวัดโอซากา และแม้แต่พื้นที่อื่นในญี่ปุ่น เจ้าของสามารถนำตุ๊กตามาส่งได้ด้วยตนเองตั้งแต่หนึ่งสัปดาห์ก่อนพิธี หรือส่งทางไปรษณีย์ก็ได้
ในวันงาน จะมีการเขียนข้อความอำลาใส่กระดาษแผ่นเล็กสำหรับตุ๊กตาแต่ละตัว พร้อมการถวายธูปเป็นสัญลักษณ์แห่งการจากลา โดยมีค่าร่วมพิธีตัวละ 3,000 เยน (ราว 20 ดอลลาร์สหรัฐ) รายได้ส่วนหนึ่งถูกนำไปบริจาคให้โครงการสวัสดิการในท้องถิ่น
พิธีอุทิศตุ๊กตาแห่งเมืองยาโอ จึงกลายเป็นประเพณีร่วมสมัยที่ผสมผสานระหว่างความเชื่อทางพุทธศาสนาและความผูกพันทางใจของผู้คนกับสิ่งของอันมีคุณค่าในความทรงจำ