อ่านก่อนไปตลาด "เนื้อสัตว์" ที่สกปรกที่สุด แหล่งรวมโรคชั้นดี หนักสุด "แบคทีเรียกินเนื้อคน"
"หอย" เนื้อสัตว์ที่สกปรกที่สุด? เปิดแหล่งสะสมสารพิษ โลหะหนัก ไวรัส และข้อควรระวังสำหรับผู้บริโภค
หอย—โดยเฉพาะหอยสองฝาอย่าง หอยนางรม หอยแมลงภู่ หอยแครง และหอยลาย—ถูกยกให้เป็นหนึ่งในเนื้อสัตว์ที่เสี่ยงปนเปื้อนสูง จนถูกเรียกขานว่า “เนื้อสัตว์ที่สกปรกที่สุด” ในมุมมองด้านความปลอดภัยอาหาร เพราะอาจสะสมทั้งเชื้อโรค พิษจากแพลงก์ตอน โลหะหนัก และไมโครพลาสติก บทความนี้สรุปให้เข้าใจง่ายว่า ทำไม “หอย” จึงเป็นแหล่งสะสมสารพิษ มีผลต่อสุขภาพอย่างไร และมีวิธีลดความเสี่ยงขณะเลือกซื้อและปรุงกินอย่างไร

ทำไม “หอย” ถึงเป็นแหล่งสะสมสารพิษ?
หัวใจอยู่ที่พฤติกรรมการกินแบบ Filter Feeding (กรองกิน) หอยจะดูดน้ำทะเลขนาดมหาศาลเข้ามากรองเอาแพลงก์ตอนและเศษอินทรีย์เป็นอาหาร หากแหล่งน้ำปนเปื้อน สิ่งปนเปื้อนก็จะถูกสะสมในตัวหอยโดยตรง ได้แก่:
- เชื้อโรค เช่น Vibrio vulnificus (บางครั้งบางครั้งเรียกว่า "แบคทีเรียกินเนื้อคน" เชื้ออหิวาต์เทียมที่ทำให้เกิดภาวะติดเชื้อรุนแรง), Salmonella, ไวรัสตับอักเสบเอ และโนโรไวรัส
- โลหะหนัก เช่น ปรอท ตะกั่ว แคดเมียม ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงโรคมะเร็งและทำลายระบบประสาท
- พิษจากแพลงก์ตอน (Marine Biotoxins) ที่เกิดในช่วงน้ำทะเลเปลี่ยนสี/ขี้ปลาวาฬ หลายชนิดทนความร้อน การปรุงสุกอาจไม่สามารถทำลายพิษได้
- ไมโครพลาสติก เศษพลาสติกจิ๋วที่แทรกอยู่ในเนื้อเยื่อหอย
ภัยเงียบที่มาพร้อมความอร่อย: อาการระยะสั้น–ระยะยาว
- ระยะสั้น: อาหารเป็นพิษเฉียบพลัน คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสียรุนแรง บางราย (โดยเฉพาะผู้มีโรคตับ/ภูมิคุ้มกันบกพร่อง) อาจติดเชื้อในกระแสเลือดจาก Vibrio ได้
- ระยะยาว: การได้รับโลหะหนักสะสมกระทบตับ ไต และสมอง เพิ่มความเสี่ยงมะเร็ง และอาจส่งผลต่อพัฒนาการสมองในเด็ก
แล้วเนื้อสัตว์อื่นล่ะ? ทำไม “หอย” จึงน่ากังวลกว่า
เนื้อหมู เนื้อไก่ อาจเสี่ยงจากเชื้อแบคทีเรียหรือยาปฏิชีวนะตกค้าง แต่โดยทั่วไปความร้อนจากการปรุงสุกช่วยลดความเสี่ยงได้มาก ขณะที่หอยยังมีปัจจัยเสริมคือ พิษแพลงก์ตอนและโลหะหนักที่ทนความร้อน ทำให้แม้ปรุงสุกก็ยังมีความเสี่ยงคงเหลืออยู่
วิธีลดความเสี่ยง: เลือกซื้อ–ปรุง–กินให้ปลอดภัยขึ้น
- เลือกแหล่งที่เชื่อถือได้ เลือกร้าน/แบรนด์ที่มีระบบควบคุมคุณภาพ แหล่งเพาะเลี้ยงที่ได้รับการรับรอง
- สังเกตความสดและสุขลักษณะ กลิ่นไม่คาวจัด เปลือกปิดแน่น (ก่อนปรุง) ไม่มีโคลนหรือตะกอนผิดปกติ
- ล้างทำความสะอาดอย่างถูกวิธี แช่น้ำสะอาดไล่ทราย/ตะกอน เปลี่ยนน้ำหลายรอบ
- ปรุงสุกทั่วถึง โดยเฉพาะหอยสองฝา หลีกเลี่ยงการกินดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ เพื่อลดเชื้อก่อโรค
- อย่ากินช่วงน้ำทะเลเปลี่ยนสี หากพื้นที่เพาะเลี้ยงมีการแจ้งเตือนเรื่องแพลงก์ตอนบลูม ควรหลีกเลี่ยง
- จำกัดปริมาณและความถี่ สลับแหล่งโปรตีน ลดโอกาสได้รับสารสะสมจากชนิดเดียวซ้ำๆ

ใครคือกลุ่มเสี่ยงที่ควรเลี่ยง “หอยดิบ–สุกไม่ทั่วถึง” เป็นพิเศษ
- ผู้ป่วยโรคตับ โรคไต หรือโรคเรื้อรังที่กระทบภูมิคุ้มกัน
- หญิงตั้งครรภ์ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ
- ผู้ที่มีภาวุภูมิคุ้มกันบกพร่อง
คำถามพบบ่อย (FAQ)
Q: ต้ม/นึ่งจนเดือดช่วยกำจัดพิษจากหอยได้หมดไหม?
A: ช่วยลดเชื้อแบคทีเรีย/ไวรัสได้มาก แต่พิษจากแพลงก์ตอนบางชนิดและโลหะหนักทนความร้อน จึงยังคงเสี่ยงจากสารสะสมบางส่วน
Q: กินหอยอย่างไรให้เสี่ยงน้อยลง?
A: เลือกแหล่งที่เชื่อถือได้ สด สะอาด ล้างดี ปรุงสุกทั่วถึง หลีกเลี่ยงช่วงที่มีประกาศเตือน และไม่กินดิบ รวมถึงบริโภคในปริมาณเหมาะสม ไม่บ่อยจนเกินไป
Q: หอยชนิดไหนเสี่ยงที่สุด?
A: โดยหลักการ หอยสองฝา (นางรม แมลงภู่ แครง ลาย) เสี่ยงสูงกว่าเพราะเป็นตัวกรอง (Filter feeder) ที่สะสมสิ่งปนเปื้อนจากแหล่งน้ำได้มาก
สรุป
“หอย” เป็นเนื้อสัตว์ที่มีความเสี่ยงปนเปื้อนสูงจากธรรมชาติการกินและแหล่งอาศัย จึงต้องใส่ใจตั้งแต่การเลือกแหล่งที่มา ความสด วิธีล้าง การปรุงให้สุกทั่วถึง และหลีกเลี่ยงการกินดิบ เพื่อลดโอกาสได้รับเชื้อก่อโรค โลหะหนัก พิษแพลงก์ตอน และไมโครพลาสติก ผู้บริโภคควรบริโภคอย่างมีสติ สลับแหล่งโปรตีน และติดตามประกาศเตือนด้านความปลอดภัยอาหารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอ