เนื้อหาในหมวด ข่าว

นอนเปิดไฟหรือนอนปิดไฟ ใครอายุยืนกว่ากัน? วิจัยล่าสุดชี้พฤติกรรมที่หลายคนเข้าใจผิด

นอนเปิดไฟหรือนอนปิดไฟ ใครอายุยืนกว่ากัน? วิจัยล่าสุดชี้พฤติกรรมที่หลายคนเข้าใจผิด

เปิดไฟหรือปิดไฟ นอนแบบไหนทำให้ "อายุสั้น" งานวิจัยล่าสุดเตือน เสี่ยงโรคเบาหวาน-หัวใจโดยไม่รู้ตัว! 

การนอนหลับดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่พฤติกรรมเล็กๆ อย่างการเปิดหรือปิดไฟขณะนอนกลับส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพและอายุขัยของเราอย่างคาดไม่ถึง

ทำไมนอนเปิดไฟถึงรู้สึกปลอดภัย?

แม้คนส่วนใหญ่มักจะนอนในห้องมืด แต่ก็ยังมีอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถหลับได้หากห้องมืดสนิท ตามข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตของศูนย์สุขภาพจิตซีอาน มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนมณฑลส่านซี ประเทศจีน ระบุว่า พฤติกรรมนี้มักมีรากมาจาก “ความกลัวในวัยเด็ก”

เด็กหลายคนมักกลัวความมืด และจินตนาการถึงสิ่งน่ากลัวเมื่อต้องอยู่ลำพังในห้องที่ไม่มีแสงไฟ พฤติกรรมนี้อาจติดตัวจนโต และกลายเป็นการพึ่งพาแสงไฟเพื่อความรู้สึกปลอดภัย นอกจากนี้ ผู้ที่มีภาวะเครียดสูงหรือฝันร้ายบ่อยครั้ง ก็มักจะรู้สึกหลับสบายขึ้นเมื่อมีแสงไฟอ่อนๆ อยู่รอบตัว

แม้แสงไฟจะช่วยลดความกลัวได้ในระยะสั้น แต่แพทย์เตือนว่า นี่อาจเป็นสัญญาณของปัญหาด้านจิตใจและการนอนหลับที่ไม่ควรมองข้าม และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ แสงไฟมีผลกระทบต่อร่างกายมากกว่าที่คิด

ผลเสียของการนอนในห้องที่มีแสงไฟ

งานวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนมีนาคม 2022 ในวารสาร PNAS โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น สหรัฐอเมริกา พบว่า การสัมผัสแสงไฟในขณะนอนหลับส่งผลเสียอย่างชัดเจนต่อร่างกาย

ในงานวิจัยนี้ อาสาสมัครสุขภาพดีจำนวน 20 คนถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกนอนในห้องที่มีแสงสลัว ส่วนอีกกลุ่มนอนในห้องที่มีแสงระดับปานกลาง ผลปรากฏว่า กลุ่มที่นอนในห้องสว่างมีอัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น และร่างกายอยู่ในภาวะตื่นตัว ส่งผลให้ความดันโลหิตในตอนกลางคืนสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ

ไม่เพียงเท่านั้น นักวิจัยยังพบว่ากลุ่มที่นอนในแสงไฟมีภาวะ “ดื้อต่ออินซูลิน” ซึ่งเป็นภาวะที่เซลล์ในร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานชนิดที่ 2, ภาวะก่อนเบาหวาน, โรคอ้วน, ไขมันในเลือดผิดปกติ และความดันโลหิตสูงในระยะยาว

ที่น่ากังวลคือ ผลกระทบเหล่านี้ยิ่งชัดเจนขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุวัย 63-84 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักนอนเปิดไฟเป็นประจำ การทำเช่นนี้ต่อเนื่องในระยะยาวเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและเบาหวานอย่างมีนัยสำคัญ

เปลี่ยนนิสัยเพื่อสุขภาพที่ดีและอายุยืน

ดร.ฟิลลิส ซี (Phyllis Zee) หัวหน้าภาควิชาแพทยศาสตร์การนอนหลับ มหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น และหนึ่งในผู้ร่วมวิจัย ย้ำว่า “ควรหลีกเลี่ยงหรือจำกัดแสงไฟในขณะนอนหลับให้มากที่สุด เพราะแม้แต่แสงสลัวก็สามารถรบกวนการทำงานของร่างกายได้”

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำแนวทางปฏิบัติดังนี้

  • พยายามปิดไฟทั้งหมดขณะนอน แต่หากจำเป็นต้องเปิดไฟเพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ควรเลือกไฟสลัวและวางไว้ใกล้พื้น
  • เลือกแสงไฟที่เหมาะสม เช่น ไฟสีอำพัน สีแดง หรือส้ม ซึ่งกระตุ้นสมองน้อยกว่าไฟสีขาวหรือฟ้า
  • ลดระดับแสงอย่างค่อยเป็นค่อยไป สำหรับคนที่กลัวความมืด อาจเริ่มจากใช้ไฟทางเดินหรือห้องน้ำ แล้วค่อยๆ ปรับตัวไปสู่การนอนในห้องมืดสนิท
  • ป้องกันแสงจากภายนอก เช่น ใช้ผ้าม่านหนา หรือผ้าปิดตา และจัดวางเตียงไม่ให้แสงส่องเข้าหน้าโดยตรง

แสงสว่างในยุคปัจจุบัน กับผลเสียที่ไม่ควรมองข้าม

แม้ว่าแสงสว่างจะเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของมนุษย์ แต่การใช้งานที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงเวลานอน อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่เราคาดไม่ถึง

ช่วงเวลานอนคือเวลาที่ร่างกายฟื้นฟูสมดุล ฮอร์โมน ระบบหัวใจ และการเผาผลาญ หากมีแสงรบกวน กระบวนการเหล่านี้จะถูกรบกวน จนนำไปสู่ภาวะเรื้อรังในระยะยาว

การเปลี่ยนนิสัยเล็กๆ อย่างการปิดไฟเมื่อนอนหลับ อาจเป็นกุญแจสำคัญสู่สุขภาพที่ดีและอายุที่ยืนยาว ห้องนอนที่มืด เงียบ และอากาศถ่ายเท คือเงื่อนไขที่ดีที่สุดสำหรับการนอนหลับลึก และการฟื้นฟูร่างกายอย่างแท้จริง