ดื่มน้ำตอนท้องว่าง "อันตรายกว่า" งดอาหารเช้า จริงหรือ? เตือนชัด 3 น้ำพังกระเพาะ!
เช็กให้ชัด! ดื่มน้ำตอนเช้าท้องว่าง อาจอันตรายกว่าการไม่กินอาหารเช้า จริงหรือ?
หลายคนเชื่อว่า การดื่มน้ำหลังตื่นนอนตอนเช้า เป็นวิธีดูแลสุขภาพที่ดี ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายและปรับสมดุลร่างกาย แต่รู้หรือไม่ว่า “ถ้าเลือกวิธีผิด” อาจกลายเป็นการทำร้ายสุขภาพโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะการดื่มน้ำ 3 ประเภทในช่วงท้องว่างตอนเช้า ที่แพทย์เตือนว่าอาจก่อให้เกิดอันตรายมากกว่าที่คิด
เคสตัวอย่าง: ดื่มน้ำผิดวิธีจนต้องพบแพทย์
“คุณป้าจาง” วัย 60 ปี มีนิสัยดื่มน้ำตอนเช้าทันทีหลังตื่นนอน โดยเลือกเป็น น้ำเย็นผสมน้ำเกลือ หรือบางวันก็ใส่ชิ้นเลมอนเพิ่มความสดชื่น แต่หลังจากทำแบบนี้ต่อเนื่อง เธอเริ่มมีอาการ แสบท้อง คลื่นไส้ตอนเช้า และครั้งหนึ่งถึงขั้นปวดท้องจนต้องไปพบแพทย์
เธอถึงกับตั้งคำถามว่า “ไม่ใช่เขาบอกว่าตื่นเช้ามาดื่มน้ำดีต่อสุขภาพเหรอ ทำไมถึงยิ่งแย่ลง?”
ดื่มน้ำตอนเช้า สุขภาพดีหรือแค่ความเชื่อผิดๆ?
ในความเป็นจริง การดื่มน้ำหลังตื่นนอนมีข้อดี เช่น ช่วยเติมน้ำให้ร่างกายหลังหลับยาว กระตุ้นการขับถ่าย และปรับสมดุลระบบย่อยอาหาร แต่วิธีที่ผิด หรือการเลือกดื่มน้ำผิดประเภท กลับอาจเป็นภัยเงียบที่สะสมโดยไม่รู้ตัว
ข้อควรระวังในการดื่มน้ำตอนเช้า
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น ความดัน หัวใจ หรือไต หากดื่มน้ำมากเกินตอนเช้า อาจทำให้เกิดภาวะน้ำเกินหรือหัวใจล้มเหลวได้
- แม้การไม่กินอาหารเช้าจะมีผลเสีย เช่น เสี่ยงนิ่วในถุงน้ำดีหรือระดับน้ำตาลในเลือวผันผวน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าดื่มน้ำอะไรก็ได้จะ “ปลอดภัย”
งานวิจัยชี้! วิธีดื่มน้ำผิด ทำให้คนไข้มีปัญหากระเพาะสูงถึง 17.6%
จากข้อมูลของ โรงพยาบาลปักกิ่งเซี่ยเหอ (Peking Union Medical College Hospital) พบว่า ผู้ที่เลือกดื่มน้ำไม่เหมาะสมในตอนเช้า มีอาการปัญหากระเพาะและระบบย่อยสูงถึง 17.6%
- มีคำตอบแล้ว! วิจัยเผย "คนอายุยืน" มักตื่นนอนตอนไหน ใช่ 6 โมงเช้า แบบที่คิดหรือเปล่า?
- คนป่วยโรคไตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แพทย์เตือน 3 อาหารควรเลี่ยงหากไม่อยาก "ไตพัง"
3 ประเภทน้ำที่ไม่ควรดื่มขณะท้องว่างตอนเช้า
1. น้ำอัดลม หรือน้ำหวานทุกชนิด
แม้จะดูสดชื่น แต่เครื่องดื่มเหล่านี้มักมี น้ำตาลสูง คาเฟอีน และสารปรุงแต่ง ซึ่งเมื่อดื่มตอนท้องว่าง อาจทำให้เกิด ปวดท้อง แสบท้อง น้ำตาลในเลือดพุ่ง และเพิ่มภาระการทำงานของไต
การศึกษาหนึ่งในจีนพบว่า ผู้ที่ดื่มน้ำหวานตอนเช้ามีแนวโน้มเป็นนิ่วในไตสูงกว่าผู้ที่ดื่มน้ำอุ่นถึง 13.2%
2. น้ำร้อนจัด (เกิน 65 องศา)
หลายคน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ มักชอบดื่มน้ำร้อนจัดเพราะเชื่อว่า “ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น” แต่ความจริงคือ เสี่ยงลวกเยื่อบุทางเดินอาหาร และ เพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งหลอดอาหาร
ตามคำแนะนำของ คู่มือโภชนาการแห่งชาติ ควรดื่มน้ำที่อุณหภูมิประมาณ 30–40 องศา เพื่อถนอมระบบย่อยและกระตุ้นการเผาผลาญได้ดีที่สุด
3. น้ำเย็นจัดหรือ “น้ำใส่น้ำแข็ง”
ในหน้าร้อน หลายคนโดยเฉพาะวัยรุ่นมักเลือกดื่มน้ำเย็นหลังตื่นนอนเพื่อความสดชื่น แต่จริงๆ แล้ว น้ำเย็นเมื่อดื่มตอนท้องว่าง อาจทำให้ ลำไส้หดตัวเฉียบพลัน เกิดอาการ คลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องเสีย
ผลสำรวจพบว่า คนที่ดื่มน้ำเย็นตอนเช้ามีโอกาสเกิดอาการทางกระเพาะมากกว่าคนที่ดื่มน้ำอุ่นถึง 2.1 เท่า
แล้วน้ำเกลือ? ก็ดูสุขภาพดีนี่นา?
แม้น้ำเกลือดู “เฮลตี้” แต่หากดื่มในปริมาณมากตอนท้องว่างก็อาจทำให้ โซเดียมในร่างกายสูง เสี่ยงต่อ ความดันโลหิตสูง บวมน้ำ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยโรคไต
4 วิธีดื่มน้ำตอนเช้าให้ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ
1. เลือก “น้ำอุ่น” อุณหภูมิ 30–40 องศา
น้ำไม่ควรร้อนจนลวกปาก หรือเย็นเกินไป ควรเป็นน้ำอุณหภูมิห้องหรือน้ำอุ่นเล็กน้อย เพื่อช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญและไม่รบกวนกระเพาะ
2. ดื่มแค่ 200 มิลลิลิตรต่อครั้ง
ไม่จำเป็นต้องดื่มเยอะ การดื่มน้ำมากกว่า 300 มล. ทันที อาจเจือจางกรดในกระเพาะ ทำให้ย่อยอาหารช้าลง และเกิดอาการแน่นท้องได้
3. อย่าให้การดื่มน้ำแทนที่มื้อเช้า
น้ำไม่ได้ให้พลังงานเหมือนอาหารเช้า การไม่ทานมื้อเช้าเพิ่มความเสี่ยง นิ่วในถุงน้ำดี ภาวะน้ำตาลต่ำ และลดประสิทธิภาพสมอง
4. ปรับปริมาณน้ำตามสภาพร่างกาย
ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น หัวใจล้มเหลว ไตเสื่อม บวมน้ำ ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนเริ่มพฤติกรรมดื่มน้ำมากในตอนเช้า
การดื่มน้ำตอนเช้าไม่ใช่เรื่องผิด แต่ ต้องรู้จักเลือกประเภท ปริมาณ และอุณหภูมิที่เหมาะสม เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุด
หากคุณยังคงมีอาการผิดปกติ เช่น แสบกระเพาะ คลื่นไส้ หรือปวดท้องหลังดื่มน้ำตอนเช้า ควรรีบปรึกษาแพทย์ อย่าตามสูตรลอยๆ จากโซเชียลโดยไม่มีหลักฐานทางการแพทย์
เริ่มต้นวันใหม่ด้วย “การดื่มน้ำที่ถูกวิธี” เพื่อให้สุขภาพดีเริ่มจากจุดเล็กๆ อย่างแท้จริง
.jpg)
