ราคาทอง จะมีโอกาสแตะ 7 หมื่นได้ไหม? ที่ราคาพุุ่งขนาดนี้ เพราะอะไรกันแน่?
ทองรูปพรรณทะลุ 60,000 บาท! จับตาสหรัฐฯ เสี่ยงชัตดาวน์ นักลงทุนไปต่อหรือพอแค่นี้
ราคาทองคำในประเทศพุ่งทะยานทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ โดยวันนี้ (30 ก.ย. 68) ตลาดเปิดทำการด้วยการปรับขึ้นถึง 650 บาท และมีความผันผวนสูงตลอดช่วงเช้า มีการประกาศปรับราคาถึง 10 ครั้งภายในเวลา 11:00 น. ส่งผลให้ราคาขายออกทองรูปพรรณทะลุแนวต้านสำคัญที่ 60,000 บาท ไปอยู่ที่ 60,100.50 บาท สร้างความตื่นตัวให้นักลงทุนอย่างมาก ก่อนจะย่อตัวกลับลงมาต่ำกว่า 60,000 บาท
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า ปัจจัยใดที่ผลักดันให้ราคาทองคำร้อนแรงถึงเพียงนี้ และนักลงทุนควรตัดสินใจอย่างไรต่อไป ท่ามกลางแนวโน้มที่ยังคงเป็นขาขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงซ่อนอยู่
เจาะสาเหตุราคาทองพุ่งแรงไม่หยุด
การปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาทองคำในวันนี้ มีปัจจัยเฉพาะหน้าที่เข้ามาส่งผลกระทบโดยตรง ควบคู่ไปกับปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนแนวโน้มขาขึ้นอยู่ก่อนแล้ว
ปัจจัยเฉพาะหน้า: สหรัฐฯ เสี่ยง Government Shutdown
นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท MTS GOLD แม่ทองสุก ให้ทัศนะกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่าสาเหตุหลักที่ราคาทองคำปรับขึ้นอย่างร้อนแรงในวันนี้ มาจากความกังวลต่อภาวะ Government Shutdown ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งหมายถึงการที่รัฐสภาไม่สามารถอนุมัติงบประมาณได้ทันตามกำหนด และจะมีการประชุมเพื่อตัดสินเรื่องนี้ในคืนนี้ตามเวลาประเทศไทย
ภาวะดังกล่าวสร้างความไม่แน่นอนให้กับตลาดการเงินทั่วโลก และผลักดันให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยทันที หากเกิดการชัตดาวน์ขึ้นจริง อาจยิ่งสร้างความปั่นป่วนและหนุนให้ราคาทองปรับตัวสูงขึ้นไปอีก
ปัจจัยพื้นฐานที่หนุนแนวโน้มขาขึ้น
นอกเหนือจากประเด็นเฉพาะหน้าแล้ว ราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่คาดว่าจะยังคงเดินหน้าลดดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า และเพิ่มความน่าสนใจให้กับทองคำ รวมถึงความต้องการทองคำจากธนาคารกลางทั่วโลกที่ยังคงซื้อสะสมเป็นทุนสำรองอย่างต่อเนื่อง
โอกาสแตะ 70,000 บาท เป็นไปได้แค่ไหน?
คำถามที่หลายคนสงสัยคือราคาทองคำในประเทศจะมีโอกาสไปถึง 70,000 บาทหรือไม่ เมื่อพิจารณาจากบทวิเคราะห์ของสถาบันการเงินระดับโลก มีการคาดการณ์ว่าราคาทองคำในตลาดโลกอาจปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ภายในสิ้นปี 2568 ซึ่งหากเป็นไปตามนั้น การที่ราคาทองรูปพรรณในประเทศจะขยับขึ้นไปใกล้ระดับดังกล่าวก็มีความเป็นไปได้
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายราคานี้ยังขึ้นอยู่กับหลายเงื่อนไข ทั้งผลการประชุมเรื่องงบประมาณของสหรัฐฯ ทิศทางนโยบายดอกเบี้ยของ Fed ในอนาคต และสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงต้องจับตา
ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา อาจฉุดราคาทองร่วง
แม้แนวโน้มปัจจุบันจะเป็นขาขึ้น แต่นักลงทุนยังคงต้องระมัดระวัง ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงได้เช่นกัน หากสหรัฐฯ สามารถผ่านร่างงบประมาณได้ โดยไม่เกิดภาวะชัตดาวน์ อาจมีแรงเทขายทำกำไรระยะสั้นออกมา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงท่าทีของ Fed หากตัวเลขเงินเฟ้อไม่เป็นใจ และการแข็งค่าของเงินบาทก็เป็นอีกปัจจัยที่จะกดดันราคาทองในประเทศได้
สรุป: ขายหรือถือต่อ?
การตัดสินใจว่าจะขายทำกำไรหรือถือ ทองคำ ต่อนั้น ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่แต่ละคนยอมรับได้ สำหรับนักลงทุนระยะสั้น การที่ราคาปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วจากข่าวเฉพาะหน้า อาจเป็นจังหวะที่ดีในการแบ่งขายทำกำไรบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยง
ขณะที่นักลงทุนระยะยาวที่เชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐาน อาจยังคงถือครองต่อไปเพื่อรอเป้าหมายราคาที่สูงขึ้นในอนาคต สิ่งสำคัญที่สุดคือการติดตามผลการประชุมเรื่องงบประมาณของสหรัฐฯ ในคืนนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางราคาทองคำในระยะสั้นได้เป็นอย่างดี