ต้องเลิก คำว่า "ประมาทร่วม" คำพูดติดปากเมื่อเกิดอุบัติเหตุ แต่ "ไม่มีจริง" ในทางกฎหมาย
"ประมาทร่วม" คืออะไร ทำไมถึงพูดติดปาก ทั้งที่ไม่มีในกฎหมาย
หลายครั้งเมื่อเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเฉพาะกรณีที่ดูเหมือนว่าคู่กรณีทั้งสองฝ่ายมีส่วนทำให้เกิดเหตุการณ์ เรามักจะได้ยินคำว่า "ประมาทร่วม" อยู่เสมอ แต่ในความเป็นจริงแล้ว คำนี้เป็นเพียงภาษาพูดที่ใช้กันทั่วไปเพื่อให้เข้าใจง่าย แท้จริงแล้วไม่มีการบัญญัติคำว่า "ประมาทร่วม" ไว้ในกฎหมายไทยแต่อย่างใด
ไขความกระจ่าง "ประมาทร่วม" ไม่มีอยู่จริงในกฎหมาย
สาเหตุที่ในทางกฎหมายไม่มีการใช้คำว่า "ประมาทร่วม" เป็นเพราะคำว่า "ร่วม" อาจสื่อความหมายไปถึงการ "ร่วมกัน" หรือมีเจตนากระทำผิดร่วมกัน ซึ่งไม่ตรงกับลักษณะของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากความประมาทของแต่ละฝ่ายที่ไม่ได้มีเจตนากรีฑาทัพกันมาก่อน
ตามหลักกฎหมายแล้ว กรณีที่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายมีส่วนในความผิด จะใช้คำว่า "ต่างฝ่ายต่างประมาท" ซึ่งหมายถึงสถานการณ์ที่ความเสียหายเกิดขึ้นเพราะความประมาทของทั้งสองฝ่าย โดยอาจจะประมาทไม่เท่ากันก็ได้ ศาลจะเป็นผู้พิจารณาจากพยานหลักฐานว่าฝ่ายใดประมาทมากกว่าหรือน้อยกว่ากัน
(1).jpg)
แล้ว "ประมาท" ในทางกฎหมายคืออะไร?
เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น เราต้องมาดูความหมายของคำว่า "ประมาท" ตามกฎหมาย ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักที่เกี่ยวข้อง คือทางอาญาและทางแพ่ง
ในทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสี่ ได้ให้ความหมายว่า "กระทำโดยประมาท ได้แก่กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์..."
ส่วนในทางแพ่ง การกระทำโดยประมาทจนทำให้ผู้อื่นเสียหาย ถือเป็นการ "ละเมิด" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ซึ่งผู้กระทำจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหาย
เมื่อต่างฝ่ายต่างประมาท ใครต้องรับผิดชอบ?
ในกรณีที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นเหตุ "ต่างฝ่ายต่างประมาท" การรับผิดชอบค่าเสียหายจะขึ้นอยู่กับระดับความประมาทของแต่ละฝ่าย หากพิสูจน์ได้ว่าฝ่ายใดประมาทมากกว่า ฝ่ายนั้นก็ต้องรับผิดชอบในสัดส่วนที่มากกว่า แต่ถ้าความประมาทของทั้งสองฝ่ายมีพอๆ กัน หรือที่มักเรียกกันว่า "ประมาทไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน" โดยทั่วไปแล้วต่างฝ่ายจะต้องรับผิดชอบความเสียหายของตนเอง
ตัวอย่างกรณีศึกษา: อุบัติเหตุจากความประมาทสองฝ่าย
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ลองดูตัวอย่างสมมติ: รถยนต์คันที่ 1 ขับมาด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ในขณะเดียวกัน รถยนต์คันที่ 2 ได้เปลี่ยนช่องจราจรกะทันหันโดยไม่ให้สัญญาณไฟ ทำให้รถทั้งสองคันชนกัน
ในกรณีนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างมีส่วนประมาท คือคนขับรถคันที่ 1 ประมาทที่ขับรถเร็วเกินกำหนด และคนขับรถคันที่ 2 ประมาทที่ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจรในการเปลี่ยนเลน เมื่อเรื่องถึงชั้นศาลหรือการพิจารณาของบริษัทประกันภัย จะมีการประเมินสัดส่วนความประมาท เช่น ศาลอาจพิจารณาให้คนขับรถคันที่ 2 ประมาทมากกว่าที่ 60% และคนขับรถคันที่ 1 ประมาท 40% ดังนั้นการชดใช้ค่าเสียหายก็จะแบ่งตามสัดส่วนนี้
บทบาทของศาลในการพิจารณาคดี
หากคู่กรณีไม่สามารถตกลงเรื่องค่าเสียหายกันได้ และนำคดีขึ้นสู่ศาล ศาลจะมีบทบาทสำคัญในการวินิจฉัยชี้ขาด โดยจะพิจารณาจากพยานหลักฐานทั้งปวง เช่น ภาพจากกล้องวงจรปิด คำให้การของพยานบุคคล รายงานการตรวจที่เกิดเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ
ศาลจะใช้ดุลยพินิจตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพื่อกำหนดสัดส่วนความประมาทของแต่ละฝ่ายอย่างเป็นธรรม คำพิพากษาของศาลจะระบุชัดเจนว่าฝ่ายใดต้องรับผิดชอบต่ออีกฝ่ายหนึ่งเป็นจำนวนเท่าใด
เหตุผลที่คำว่า "ประมาทร่วม" เป็นที่นิยมใช้
แม้จะไม่มีในกฎหมาย แต่คำว่า "ประมาทร่วม" ก็ยังถูกใช้อย่างแพร่หลายในสังคมไทย เหตุผลหลักคือเป็นคำที่สั้น กระชับ และสื่อความหมายให้คนทั่วไปเข้าใจได้ทันทีว่าอุบัติเหตุครั้งนี้ไม่มีฝ่ายใดถูกหรือผิดเพียงฝ่ายเดียว แต่ทั้งสองฝ่ายมีส่วนทำให้เกิดขึ้นเหมือนกัน จึงกลายเป็นคำที่พูดติดปากและใช้กันอย่างกว้างขวาง
คำเตือน: ความเข้าใจผิดอาจนำไปสู่ข้อเสียเปรียบ
การยึดติดกับคำว่า "ประมาทร่วม" ในภาษาพูดอาจสร้างความสับสนและทำให้เข้าใจผิดในข้อกฎหมายได้ง่าย หลายคนอาจคิดว่าหมายถึงการรับผิดชอบคนละครึ่ง (50/50) เสมอไป ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะสัดส่วนความรับผิดชอบขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ของแต่ละกรณี
ดังนั้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือข้อพิพาทที่มีความซับซ้อน การปรึกษาทนายความหรือผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องและสามารถปกป้องสิทธิของตนเองได้อย่างเต็มที่