สาวออฟฟิศกระเพาะทะลุ หมอเตือน 2 ช่วงเวลาที่ห้ามแตะ "กาแฟ" ถ้าไม่อยากตายไว

หญิงสาววัย 24 ปี กระเพาะทะลุเพราะดื่มกาแฟแทนอาหารเช้า แพทย์เตือน 2 ช่วงเวลาห้ามแตะกาแฟเด็ดขาด

กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่คุ้นเคยกับทุกช่วงวัย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความกระปรี้กระเปร่าในตอนเช้า ถือเป็น “ตัวช่วยชีวิต” ของคนทำงานที่เร่งรีบและใช้กาแฟเพื่อคลายความเครียด เช่นเดียวกับเสี่ยวหลิง หญิงสาววัย 24 ปี จากเมืองเถาหยวนของไต้หวัน

เสี่ยวหลิงทำงานด้านสื่อสารมวลชน เธอเริ่มต้นวันใหม่ด้วยกาแฟหนึ่งแก้วทุกเช้า เพราะเชื่อว่าช่วยเติมพลังได้ทันที โดยเฉพาะในวันที่ต้องทำงานข้ามคืนหรือไม่มีเวลาเตรียมอาหารเช้า จนต่อมาเธอหันมาดื่มกาแฟแทนอาหารเช้าอย่างถาวรเพื่อหวังลดน้ำหนัก และหากหิวมากก็จะกินเพียงผลไม้ไม่กี่ชิ้น

แม้น้ำหนักของเธอจะลดลง แต่กลับมีอาการปวดท้องเรื้อรัง แน่นท้อง เบื่ออาหาร และคลื่นไส้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอยู่ในช่วงประเมินผลงานและงานยุ่ง จึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับอาการเหล่านี้มากนัก ทุกครั้งที่ปวดก็เพียงกินยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการ

จนกระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เสี่ยวหลิงปวดท้องรุนแรงจนหมดแรง เพื่อนร่วมงานต้องรีบพาส่งโรงพยาบาล แพทย์วินิจฉัยว่าเธอเป็นโรคกระเพาะอักเสบเฉียบพลันและเกิดภาวะกระเพาะทะลุ ต้องเข้ารับการผ่าตัดฉุกเฉินทันที โดยสาเหตุหลักมาจากการดื่มกาแฟแทนอาหารเช้าเป็นเวลานาน

แพทย์เตือน 2 ช่วงเวลาห้ามดื่มกาแฟโดยเด็ดขาด

นายแพทย์หลัว เจียหลิน ศัลยแพทย์จากไต้หวัน ซึ่งเป็นผู้รักษาเสี่ยวหลิง เล่ากรณีนี้ผ่านรายการสุขภาพออนไลน์ โดยระบุว่ามี 2 ช่วงเวลาที่ห้ามดื่มกาแฟโดยเด็ดขาด ได้แก่ ตอนท้องว่าง และ ตอนกำลังเครียดหรือโกรธ

แพทย์หลัวอธิบายว่า ไม่ควรดื่มกาแฟตอนท้องว่าง โดยเฉพาะช่วงเช้าที่ระดับน้ำตาลในเลือดยังต่ำและกระเพาะยังไม่พร้อมรับกรด ไม่ว่าจะเป็นกาแฟดำหรือกาแฟใส่นม คาเฟอีนและโปรตีนในนมต่างกระตุ้นให้หลั่งกรดในกระเพาะมากขึ้น ทำให้เกิดอาการแสบท้อง เยื่อบุกระเพาะถูกทำลาย และอาจก่อให้เกิดแผลในกระเพาะได้

นอกจากนี้ รสขมของกาแฟยังเพิ่มการบีบตัวของกล้ามเนื้อในกระเพาะอาหาร และหากโปรตีนในนมย่อยไม่หมดอาจก่อให้เกิดสารที่เป็นอันตรายในลำไส้ ส่วนการดื่มกาแฟในช่วงอารมณ์เครียดหรือโกรธก็อันตรายไม่แพ้กัน เพราะฮอร์โมนคอร์ติซอลที่หลั่งออกมาขณะเครียดจะทำให้กระเพาะหลั่งกรดมากขึ้น ขณะที่คาเฟอีนจะซ้ำเติมผลนี้จนเกิดการกระตุ้นระบบประสาทมากเกินไป

โชคดีรักษาทันเวลา ปลอดภัยหลังผ่าตัด

โชคดีที่เสี่ยวหลิงถูกส่งโรงพยาบาลทันเวลาและไม่มีโรคแทรกซ้อน การผ่าตัดจึงผ่านไปได้ด้วยดี ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต หลังผ่าตัดสองวันเธอถูกย้ายไปพักฟื้นในห้องผู้ป่วยทั่วไป และเมื่อทราบสาเหตุ เธอรู้สึกทั้งตกใจและเสียใจ พร้อมให้คำมั่นว่าจะปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตใหม่ ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น และไม่ลดน้ำหนักด้วยวิธีสุดโต่งอีกต่อไป