
คนโบราณตั้งชื่อลูก อีดํา-ไอ้แดง-ไอ้หมา ไม่ใช่ขี้เกียจคิด แต่เป็นกุศโลบายเพื่อ "ปกป้องเด็ก"
เคยสงสัยไหม.... ทำไมคนโบราณตั้งชื่อลูกลแปลกๆ อีดํา อีขาว ไอ้หมี ฯลฯ ย้อนความเชื่อโบราณที่ใช้หลอกผี เพื่อ เป็นเกราะป้องกันลูก
เคยสงสัยหรือไม่ว่า เหตุใดคนไทยสมัยก่อนจึงตั้งชื่อเล่นให้ลูกด้วยคำแปลก ๆ อย่าง “อีดำ”, “ไอ้ขาว”, “ไอ้หมู” หรือแม้แต่ “อีเป๋”? เบื้องหลังชื่อเหล่านี้ไม่ใช่เพียงเรื่องตลก แต่แฝงไว้ด้วยความเชื่อและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เล่าสืบต่อกันมา โดยเฉพาะความเชื่อเกี่ยวกับการ หลอกผี เพื่อปกป้องลูกน้อยจากอันตรายที่มองไม่เห็น
ชื่อไม่ไพเราะ เพื่อพรางตาผี
ในบางท้องถิ่นของไทย มีความเชื่อว่าเด็กแรกเกิดยังอ่อนแอ วิญญาณยังไม่มั่นคง และอาจเป็นเป้าหมายของผีหรือภูตพราย การตั้งชื่อให้เด็กฟังดูไม่ดี เช่น “อีดำ”, “ไอ้ขี้”, “อีบ้ง” จึงเป็นหนึ่งในวิธีที่พ่อแม่ใช้เพื่อหลอกผีว่าเด็กคนนั้นไม่มีค่า ไม่ควรยุ่งเกี่ยว
แนวคิดนี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบความเชื่อในท้องถิ่น และไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าถูกใช้โดยทั่วไปทุกภาคของไทย แต่พบได้ในเอกสารเกี่ยวกับประเพณีบางภูมิภาค เช่น ประเพณีล้านนา หรือพิธีกรรมเกี่ยวกับแม่ซื้อ
การตั้งชื่อเพื่อกันอิจฉาและตบตาสิ่งลี้ลับ
อีกหนึ่งเหตุผลที่มักถูกกล่าวถึงในการเล่าปากต่อปาก คือการตั้งชื่อแปลก ๆ เพื่อ “กันอิจฉา” บางพื้นที่เชื่อว่าหากเด็กน่ารักหรือมีวาสนาดีเกินไป อาจดึงดูดความอิจฉาจากผี วิญญาณ หรือแม้แต่มนุษย์ การตั้งชื่อที่ดูไม่ดีจึงเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม
ในบางท้องถิ่น ยังมีพิธีกรรมอย่าง “ขายลูกให้ผี” หรือ “ยกให้เจ้าที่” เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณมายุ่งเกี่ยว รายละเอียดของพิธีเหล่านี้แตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ และบางส่วนยังคงเป็นความเชื่อที่ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ชัดเจน
โตแล้วค่อยตั้งชื่อจริง
ชื่อเล่นแปลก ๆ ที่ใช้ในวัยเด็กมักเป็นเพียงชั่วคราว เมื่อเด็กเติบโตและผ่านช่วงวัยที่เชื่อว่ามีความเสี่ยงต่อการถูกรบกวนจากสิ่งลี้ลับ ครอบครัวจึงจะตั้งชื่อจริงที่เป็นมงคลให้ เช่น “สมชาย”, “สุดารัตน์” หรือชื่ออื่น ๆ ที่มีความหมายดี
วิธีนี้สะท้อนถึงความห่วงใยของพ่อแม่ผ่านวัฒนธรรมการตั้งชื่อ โดยอิงจากความเชื่อพื้นบ้านที่สอดคล้องกับสภาพสังคมในอดีต ซึ่งมักอาศัยการเล่าต่อกันมา มากกว่าหลักฐานทางวิชาการ
เหตุผลที่คนโบราณตั้งชื่อเล่นลูกแปลก ๆ อย่าง “อีดำ” หรือ “ไอ้หมี” มีรากฐานมาจากความเชื่อท้องถิ่นที่ต้องการปกป้องลูกน้อยจากผีหรือสิ่งลี้ลับผ่านการพรางชื่อ แม้แนวคิดนี้จะไม่สามารถพิสูจน์ทางประวัติศาสตร์ได้โดยตรง แต่ก็เป็นหนึ่งในภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สะท้อนถึงความพยายามของพ่อแม่ในการดูแลลูกอย่างสุดความสามารถในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
- เปิดชื่อ 5 กษัตริย์ "รวยที่สุด" อันดับ 1 แจกทองครั้งเดียว ทำเศรษฐกิจประเทศอื่น "รวน" ได้!
- 10 อาชีพที่ "หายไปจากโลก" มีงานที่ครั้งหนึ่งเคยนิยมมาก แต่ปัจจุบันเหลือแค่ตำนาน!
สิ่งที่ควรระวังหรือเสริมความเข้าใจ
ไม่มีหลักฐานประวัติศาสตร์แบบชัดเจน-เป็นลายลักษณ์อักษรในระดับชาติ
เรื่องเหล่านี้อยู่ในกลุ่ม "วัฒนธรรมบอกเล่า" หรือ "มานุษยวิทยาทางวาจา" ไม่ใช่สิ่งที่มีเอกสารหลักฐานเชิงประวัติศาสตร์โดยตรงจากรัฐไทย แต่มีการศึกษาจากนักมานุษยวิทยา หรือผ่านวิทยานิพนธ์ด้านวัฒนธรรม
ไม่ได้ทำกันทุกพื้นที่ทั่วไทย
บางภาคหรือบางชุมชนไม่มีการตั้งชื่อเล่นแบบนี้เลย หรือมีชื่อเล่นแต่ด้วยเหตุผลอื่น เช่น เรียกตามสัตว์เลี้ยง หรือสิ่งของที่ชอบ
คำว่า “ไอ้” และ “อี” ไม่ได้มีความหมายหยาบคายเสมอไปในบริบทโบราณ:
ในอดีตเป็นคำธรรมดาที่ใช้เรียกเด็กชาย/หญิง เช่น “ไอ้ทอง”, “อีเมี้ยน” ซึ่งไม่ได้หยาบแบบปัจจุบัน