ครูส่งภาพนักเรียนนอนกลางวันเข้ากลุ่ม ผปค.เดือดจัด! "จ่ายเงินให้ดูแลลูกแบบนี้หรือ?"
ดราม่าในกลุ่มผู้ปกครอง! ครูส่งรูปเด็กอนุบาลนอนกลางวัน แต่กลับถูกต่อว่า “จ่ายเงินมาเพื่อดูแลแบบนี้เหรอ?”
เมื่อลูกถึงวัยเข้าเรียนอนุบาล พ่อแม่จำนวนมากมักจะรู้สึกโล่งใจ เพราะในที่สุดก็จะมีเวลาส่วนตัวมากขึ้น หลังจากที่ต้องดูแลลูกอย่างใกล้ชิดมาหลายปี แต่ความโล่งใจนั้นมักจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะความกังวลอื่นๆ จะตามมาติดๆ เช่น ลูกกินอาหารได้ไหม คุ้นเคยกับเพื่อนและครูหรือไม่ และครูจะดูแลเด็กจำนวนมากได้อย่างทั่วถึงเพียงใด

ภาพถ่ายเพียงภาพเดียว จุดชนวนความขัดแย้งในกลุ่มผู้ปกครอง
เพื่อคลายความกังวล ผู้ปกครองหลายคนเลือกที่จะเพิ่มเพื่อนกับครูผู้สอนทางโซเชียลมีเดีย เพื่อรับการอัปเดตสถานการณ์ของลูกผ่านข้อความ รูปภาพ หรือวิดีโอในแต่ละวัน ซึ่งดูเหมือนเป็นรูปแบบการสื่อสารปกติระหว่างโรงเรียนและครอบครัว จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่เป็นที่ถกเถียงขึ้นที่โรงเรียนอนุบาลเอกชนแห่งหนึ่งในประเทศจีน
เพียงเพราะภาพถ่ายขณะเด็กๆ นอนกลางวันที่ถูกส่งเข้าในกลุ่มผู้ปกครอง ทำให้ครูประจำชั้นถูกตั้งคำถามและถูกตำหนิอย่างรุนแรงจากพ่อแม่หลายคน โดยครูมีความตั้งใจดีที่ต้องการให้ผู้ปกครองสบายใจ จึงได้ถ่ายภาพเด็กๆ ขณะกำลังนอนหลับมาแชร์ในกลุ่มแชตของชั้นเรียน ในภาพมีเด็กบางคนนอนหลับสบายดี ขณะที่บางคนก็นอนกระสับกระส่ายหรือผ้าห่มหลุดไปจากตัว
ความกังวลเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น
แทนที่ภาพเหล่านี้จะทำให้ผู้ปกครองรู้สึกว่าลูกของตนเองปลอดภัยและเป็นปกติ เพียงไม่กี่นาทีต่อมา กลุ่มแชตก็เต็มไปด้วยความคิดเห็นที่เต็มไปด้วยความโกรธ เช่น "คุณครูคะ ทำไมลูกดิฉันไม่มีผ้าห่ม?" "ดูสิ เด็กคนนั้นเท้าเปล่าหมดเลย อากาศเย็นแบบนี้ลูกฉันต้องป่วยแน่ๆ!" และ "จ่ายเงินไปตั้งเยอะ ครูดูแลลูกแบบนี้หรือ?"
บรรยากาศในกลุ่มตึงเครียดขึ้นอย่างรวดเร็ว ครูที่ตั้งใจดีกลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จนถึงขั้นมีผู้ปกครองบางคนโจมตีความสามารถและความรับผิดชอบของเธอ ด้านความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดียก็ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งมองว่าเมื่อจ่ายเงินส่งลูกเข้าโรงเรียนแล้ว พ่อแม่ย่อมมีสิทธิ์เรียกร้องการดูแลที่ดีที่สุดให้กับลูก
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งแสดงความเห็นใจครู โดยระบุว่าการที่เด็กๆ จะพลิกตัวหรือถีบผ้าห่มระหว่างนอนกลางวันเป็นเรื่องปกติ และครูไม่สามารถแก้ไขรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ให้กับเด็กทุกคนได้ตลอดเวลา

หัวใจสำคัญของปัญหาคือ "ความไม่มั่นคงทางอารมณ์" ของพ่อแม่
อันที่จริงแล้ว แก่นกลางของการโต้แย้งนี้ไม่ใช่เรื่องของการห่มผ้า แต่เป็น "ความรู้สึกไม่มั่นคง" ที่ฝังลึกอยู่ในใจของพ่อแม่ เมื่อพวกเขาต้องส่งมอบความรับผิดชอบในการดูแลลูกให้กับคนอื่น เมื่ออยู่ที่บ้าน พ่อแม่จะรู้ถึงพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่างของลูก เช่น ชอบนอนตะแคงข้างไหน กลัวความหนาวหรือไม่ กินอิ่มแล้วจะอาเจียนง่ายไหม
แต่เมื่ออยู่ที่โรงเรียน ครูคนเดียวต้องดูแลเด็กหลายสิบคน แม้จะทุ่มเทแค่ไหนก็ไม่สามารถดูแลได้อย่างครบถ้วนในทุกรายละเอียด ความแตกต่างนี้เองที่ทำให้พ่อแม่รู้สึกกังวล และพร้อมที่จะเกิดความสงสัยเมื่อเห็นลูกไม่ได้รับการ "ดูแลเหมือนอยู่บ้าน"
พ่อแม่ต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยมือเพื่อให้ลูกเติบโต
แต่ความกังวลนั้น แท้จริงแล้วก็คือการแสดงออกถึงความรัก มันเกิดจากสัญชาตญาณที่ต้องการปกป้อง และอยากให้ลูกอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัยเสมอ ปัญหาคือการที่ลูกจะเติบโตได้อย่างแท้จริง บางครั้งพ่อแม่ก็ต้องเรียนรู้ที่จะ "ปล่อยมือ" และให้พื้นที่แก่ลูกบ้าง ลูกไม่สามารถอยู่ในอ้อมแขนของพ่อแม่ได้ตลอดไป
การฝึกให้ลูกคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมส่วนรวม คือการช่วยให้ลูกได้ฝึกฝนการพึ่งพาตนเอง หากพ่อแม่พบปัญหาใดๆ ควรเลือกวิธีการพูดคุยแบบส่วนตัวกับครูผู้สอน รับฟัง และร่วมกันหาแนวทางแก้ไข การแสดงออกด้วยความรีบร้อนหรือความรุนแรงในกลุ่มผู้ปกครองจะยิ่งทำให้ทั้งสองฝ่ายเกิดความห่างเหินกันเท่านั้น

ครูคือ "ผู้ร่วมทาง" ไม่ใช่ "ผู้ให้บริการ"
ครูผู้สอนไม่ใช่ "ผู้ให้บริการ" แต่คือ "ผู้ร่วมเดินทาง" กับพ่อแม่ในการอบรมเลี้ยงดูบุตรหลาน นอกเหนือจากความพยายามของผู้ปกครองแล้ว ครูผู้สอนก็ควรใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้น ความเข้าใจอันดีระหว่างครอบครัวและโรงเรียนจะช่วยให้ทุกสิ่งทุกอย่างราบรื่นมากขึ้น