เนื้อหาในหมวด ข่าว

เช็ก 3 ข้อต้องทำ! เมื่อเจอร้านปฏิเสธ \

เช็ก 3 ข้อต้องทำ! เมื่อเจอร้านปฏิเสธ "คนละครึ่ง" หรือโก่งราคา แจ้งเรียกเงินคืนได้ไหม?

ร้านค้าปฏิเสธสิทธิ "คนละครึ่ง" และบัตรสวัสดิการฯ ทำอย่างไร? รู้ 3 ขั้นตอนร้องเรียน พร้อมเบอร์โทรด่วน

โครงการของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็น "คนละครึ่ง" หรือ "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพ แต่ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบจากร้านค้ายังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งพฤติกรรมการโก่งราคา การติดป้ายราคาสองมาตรฐาน หรือการปฏิเสธไม่รับสิทธิ "โดยไม่มีเหตุผลอันควร"

ในฐานะผู้บริโภค คุณมีสิทธิที่จะปกป้องตนเองและไม่ปล่อยให้ร้านค้าเอาเปรียบ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทราบ 3 ข้อที่ต้องทำ เมื่อเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ เพื่อรักษาสิทธิของตนเอง และแจ้งเบาะแสเพื่อให้ภาครัฐดำเนินการเอาผิดร้านค้าที่ฝ่าฝืนข้อกำหนดได้อย่างทันท่วงที

3 ข้อต้องทำทันที! เมื่อเจอร้านโก่งราคา หรือปฏิเสธสิทธิ

หากคุณพบปัญหาขณะใช้สิทธิ "คนละครึ่ง" หรือ "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" ขอให้ดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้ทันทีเพื่อรวบรวมหลักฐานและแจ้งเบาะแส

  • ถ่ายหลักฐานการกระทำผิดให้ชัดเจน: สิ่งสำคัญที่สุดคือการบันทึกข้อมูลของร้านค้า (ชื่อ, ที่ตั้ง) วันที่และเวลาที่เกิดเหตุ รวมถึงพฤติการณ์ที่ร้านค้าปฏิเสธหรือโก่งราคา หากเป็นกรณีโก่งราคา ให้ถ่ายภาพป้ายราคา หรือหลักฐานการตั้งราคาสองมาตรฐานไว้เป็นข้อมูลประกอบ
  • แยกประเด็นปัญหาให้ถูกต้อง: ก่อนแจ้งเบาะแส ให้ระบุว่าปัญหาหลักคือ "การปฏิเสธ/ทุจริตการใช้สิทธิ" หรือ "การโก่งราคา/ตั้งราคาสองมาตรฐาน" เพราะแต่ละประเด็นจะส่งเรื่องไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงแตกต่างกัน เพื่อให้การดำเนินการรวดเร็วยิ่งขึ้น
  • โทรแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที: ติดต่อสายด่วนของหน่วยงานที่รับผิดชอบตามประเภทปัญหาที่พบ โดยระบุหลักฐานและรายละเอียดที่รวบรวมไว้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการตรวจสอบและติดตามผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ข้อหาและบทลงโทษที่ร้านค้าต้องเจอ

    ร้านค้าที่จงใจฝ่าฝืนเงื่อนไขโครงการของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธรับสิทธิ หรือการโก่งราคา จะต้องเผชิญกับบทลงโทษที่ร้ายแรง ดังนี้

  • ฝ่าฝืน พ.ร.บ. ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (การโก่งราคา/ไม่แสดงราคา)
    นี่คือข้อหาที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ กรมการค้าภายใน (สายด่วน 1569) หากร้านค้ามีพฤติกรรมดังนี้ จำหน่ายสินค้าราคาสูงเกินสมควร: เช่น การปรับขึ้นราคาเมื่อรู้ว่าเป็นลูกค้าที่ใช้สิทธิ์โครงการของรัฐ (ตั้งราคาสองมาตรฐาน) ไม่แสดงราคาจำหน่ายปลีก: ไม่มีการติดป้ายแสดงราคาสินค้าอย่างชัดเจน

    บทลงโทษ: มีโทษสูงสุด ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือ จำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และผู้บริโภคที่ถูกเรียกเก็บเงินเกินราคาจริงมีสิทธิ์ได้รับการพิจารณาชดเชยคืนส่วนที่จ่ายเกินไป

  • ผิดเงื่อนไขโครงการและถูกเรียกเงินรัฐคืน

     นี่คือข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการทำผิดสัญญาและเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการ ซึ่งดำเนินการโดย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และธนาคารกรุงไทย หากร้านค้ามีพฤติกรรม ปฏิเสธรับสิทธิ์โดยไม่มีเหตุผลอันควร, กระทำการที่ขัดต่อวัตถุประสงค์ของโครงการ (เช่น สแกนแล้วไม่มีการซื้อขายสินค้าจริง)
    บทลงโทษ: ร้านค้าจะถูก ระงับสิทธิการเข้าร่วมโครงการของรัฐทั้งหมดทันที และต้อง ถูกเรียกเงินส่วนลดที่ได้รับจากภาครัฐคืนทั้งหมด เพื่อรักษาวินัยการเงินของรัฐบาล
    ในส่วนนี้ ผู้บริโภคที่ทำธุรกรรมฉ้อโกงหรือไม่มีสินค้าจริง และธุรกรรมนั้นถูกระงับ จะได้รับเงินที่หักจาก G-Wallet (เงินส่วนที่ผู้บริโภคจ่ายเอง) โอนคืนเข้าสู่สิทธิ์/กระเป๋าเงินของผู้ใช้

  • เข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน (กรณีรับแลกเงินสด)

     หากพฤติกรรมของร้านค้าเข้าข่ายการทุจริตอย่างชัดเจน เช่น การรับแลกสิทธิ์เป็นเงินสด แทนการซื้อขายสินค้าจริง ถือเป็นความผิดที่ร้ายแรง
    บทลงโทษ: อาจเข้าข่ายความผิดฐาน ฉ้อโกง ซึ่งมีโทษ จำคุกและปรับ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ปอศ.) จะดำเนินการตามกฎหมายอาญาอย่างเด็ดขาดกับทั้งร้านค้าและผู้ใช้สิทธิ์ที่ร่วมกระทำผิด

  • ประเด็นการถูกเรียกเงินคืน หลักฐานยืนยันจากแหล่งที่มา (ความหมายในทางปฏิบัติ) หน่วยงานอ้างอิงหลัก
    1. การชดเชยจากการโก่งราคา (เงินคืน): หากผู้บริโภคถูกเรียกเก็บเงินเกินราคาจริง มีสิทธิ์ได้รับการพิจารณาชดเชยคืนส่วนที่จ่ายเกินไป โดยแจ้งผ่านสายด่วน 1569 กรมการค้าภายใน และ สภาผู้บริโภค
    2. การคืนเงินจากธุรกรรมทุจริต (คืนเข้าสิทธิ์/G-Wallet): เมื่อธุรกรรมทุจริตถูกระงับ เงินที่ถูกหักจาก G-Wallet ของผู้ใช้จะถูกโอนคืนเข้าสู่สิทธิ์/กระเป๋าเงินของผู้ใช้ (คือเงินส่วนที่ผู้บริโภคจ่ายเอง) กระทรวงการคลัง (ผ่านธนาคารกรุงไทย)
    3. การคืนเงินส่วนของรัฐ (ร้านค้าถูกลงโทษ): ร้านค้าที่ทุจริตจะถูกระงับสิทธิ และต้องถูกเรียกเงินส่วนลดที่ได้รับจากภาครัฐคืนทั้งหมด (ไม่ใช่เงินที่คืนให้ผู้บริโภคโดยตรง แต่เป็นการลงโทษร้านค้า) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)

    ช่องทางด่วนในการแจ้งเบาะแส และการร้องเรียน

    เพื่อปกป้องสิทธิของคุณและร่วมกันตรวจสอบความโปร่งใสของโครงการภาครัฐ โปรดติดต่อสายด่วนและช่องทางต่อไปนี้ โดยเตรียมข้อมูลหลักฐานและรายละเอียดปัญหาให้ครบถ้วน

    1. ปัญหาการโก่งราคา / ไม่ปิดป้ายราคา (แจ้งกรมการค้าภายใน)

    • สายด่วนกรมการค้าภายใน: โทร. 1569
    • สภาผู้บริโภค: สายด่วน 1502

    2. ปัญหาการปฏิเสธสิทธิ / ธุรกรรมผิดพลาด (แจ้งธนาคารกรุงไทย/กระทรวงการคลัง)

    • ศูนย์ช่วยเหลือผู้เข้าร่วมโครงการฯ (ธนาคารกรุงไทย): โทร. 0 2111 1122 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
    • ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ: โทร. 0 2109 2345 (วันจันทร์-ศุกร์ 08.30 – 17.30 น.)

    อย่าให้ร้านค้าเอาเปรียบสิทธิ คนละครึ่ง ของคุณ

    การถูกปฏิเสธสิทธิหรือการโก่งราคา ถือเป็นการทำลายเจตนารมณ์ของโครงการในการบรรเทาค่าครองชีพผู้มีรายได้น้อย ซึ่งมีบทลงโทษที่รุนแรงต่อร้านค้าที่กระทำความผิด ดังนั้น ผู้บริโภคต้องทราบ 3 ข้อต้องทำ เพื่อใช้สิทธิของตนเองอย่างมั่นใจ หากพบการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ให้รวบรวมหลักฐานและแจ้งเบาะแสผ่านช่องทางด่วนทันที เพื่อให้ภาครัฐดำเนินการเอาผิดและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ใช้สิทธิทุกคน

    เปิด 4 เหตุผลศักสิทธิ์ ใช้เพื่อ \

    เปิด 4 เหตุผลศักสิทธิ์ ใช้เพื่อ "ปฏิเสธการยืมเงิน" สุภาพแต่ชัดเจน เทคนิคนี้พูดครั้งเดียวจบ!

    ยุค 2025 ต้องรอด! เผย 4 ประโยคปฏิเสธการยืมเงิน อย่างไรไม่ให้เสียเพื่อน และไม่เสียเงินเก็บ