ย้อนรอยความอิหยังวะ "เกาหลีเหนือ" ออกกฎหมาย "ห้ามประชาชนฆ่าตัวตาย"
ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจและความกดดันภายในประเทศที่รุนแรงขึ้นทุกปี เกาหลีเหนือกลับเคยออกกฎหมายที่สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก เมื่อรัฐบาลประกาศ “ห้ามประชาชนฆ่าตัวตายโดยเด็ดขาด”
โดยรัฐบาลโสมแดงระบุว่า การฆ่าตัวตายถือเป็น “อาชญากรรมร้ายแรงต่อรัฐ” เจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นรับผิดชอบหากเกิดกรณีประชาชนฆ่าตัวตายในพื้นที่ของตนและครอบครัวของผู้ตายจะต้องได้รับโทษร่วมด้วย
กฎหมายดังกล่าวสะท้อนถึงมาตรการเข้มงวดของรัฐบาลภายใต้การนำของ คิมจองอึน ที่พยายามควบคุมทุกแง่มุมของชีวิตประชาชน แม้แต่การเลือกที่จะจบชีวิตของตนเองก็ยังไม่อาจทำได้

สาเหตุของการออกกฎหมายสุดเข้ม
รายงานจากองค์กรสื่ออิสระหลายแห่งระบุว่า ในช่วงปี 2023 เกาหลีเหนือพบสถิติการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นกว่า 40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยสาเหตุหลักมาจากปัญหาความยากจน ภาวะขาดแคลนอาหาร และความกดดันในชีวิตประจำวัน ซึ่งถือเป็นเรื่องอ่อนไหวสำหรับรัฐบาล เพราะสะท้อนถึงความล้มเหลวของระบบเศรษฐกิจและอุดมการณ์ที่อ้างว่าดูแลประชาชนได้อย่างเท่าเทียม
เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์นี้ขยายตัว ผู้นำสูงสุด คิมจองอึน ได้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ในแต่ละจังหวัดเร่ง “หยุดยั้งการฆ่าตัวตาย” พร้อมระบุว่า ผู้ที่จบชีวิตตนเองกำลัง “ทำลายภาพลักษณ์ของสังคมนิยม” และเป็นการทรยศต่ออุดมการณ์ของรัฐ

การฆ่าตัวตาย = การทรยศ
ในกฎหมายของเกาหลีเหนือ การฆ่าตัวตายไม่เพียงถูกมองว่าเป็นการละเมิดต่อชีวิตของตนเอง แต่ยังถูกจัดเป็นความผิดทางการเมือง โดยเฉพาะในกรณีที่มีจดหมายลาตายหรือข้อความที่แสดงความไม่พอใจต่อรัฐบาล เจ้าหน้าที่ที่ดูแลพื้นที่ที่มีเหตุลักษณะนี้อาจถูกลงโทษทางวินัย และในบางกรณี ครอบครัวของผู้ตายก็อาจถูกสอบสวนหรือดำเนินคดีฐาน “เกี่ยวข้องกับการกระทำทรยศ”
นอกจากนี้ การเผยแพร่หรือพูดถึงเหตุฆ่าตัวตายภายในประเทศยังถูกสั่งห้ามโดยเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เกิด “ผลกระทบทางสังคม” หรือกระตุ้นให้เกิดเหตุเลียนแบบ รัฐบาลมองว่าข่าวลักษณะนี้เป็นภัยต่อเสถียรภาพและความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อผู้นำสูงสุด

มุมมองเบื้องหลังนโยบาย
นักวิเคราะห์มองว่า การออกกฎหมายห้ามฆ่าตัวตายในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการ “ปกป้องภาพลักษณ์ของรัฐ” มากกว่าจะเป็นการดูแลสุขภาพจิตของประชาชน เพราะในทางปฏิบัติ เกาหลีเหนือยังไม่มีระบบสนับสนุนด้านสุขภาพจิตหรือการให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่ประสบภาวะซึมเศร้า
นอกจากนี้ นโยบายดังกล่าวยังถูกมองว่าเป็นการโยนความผิดไปยังประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น มากกว่าการยอมรับปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ความยากจน การขาดอาหาร หรือการขาดเสรีภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ผลักให้ผู้คนตกอยู่ในความสิ้นหวัง

เสียงวิจารณ์จากนานาชาติ
องค์กรสิทธิมนุษยชนและผู้เชี่ยวชาญต่างออกมาแสดงความกังวลว่า การตีความ “การฆ่าตัวตาย” ให้เป็นความผิดทางการเมือง จะยิ่งทำให้ประชาชนไม่กล้าเปิดเผยปัญหาทางจิตใจหรือขอความช่วยเหลือใดๆ และอาจซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายยิ่งขึ้น เพราะผู้ที่มีแนวโน้มฆ่าตัวตายจะยิ่งถูกกดทับและถูกมองว่าเป็น “ผู้ทรยศ” มากกว่าจะได้รับความเข้าใจหรือการรักษา

บทสรุป
กฎหมาย “ห้ามฆ่าตัวตาย” ของเกาหลีเหนืออาจสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลในการควบคุมภาพลักษณ์ของประเทศภายใต้ภาวะวิกฤตมากกว่าการแก้ไขปัญหาที่แท้จริง แม้จะอ้างว่าเป็นมาตรการเพื่อปกป้องชีวิตประชาชน แต่ในทางกลับกัน กลับกลายเป็นการเพิ่มแรงกดดันทางจิตใจและปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกของผู้คน
และนั่นทำให้คำถามสำคัญยังคงค้างอยู่ แท้จริงแล้ว นโยบายที่ห้ามประชาชน “ตาย” ได้ด้วยตัวเอง เป็นการปกป้องชีวิต หรือเป็นเพียงอีกหนึ่งเครื่องมือของรัฐที่ใช้ควบคุมชีวิตของผู้คนตั้งแต่เกิดจนตายกันแน่?