ดื่มมัทฉะแล้วผมร่วง จริงหรือไม่? เปิดผลข้างเคียงเครื่องดื่มยอดฮิต ที่ไม่มีใครเคยบอก
ดื่มมัทฉะแล้วผมร่วง จริงหรือไม่? เปิดผลข้างเคียงเครื่องดื่มยอดฮิต ที่ไม่มีใครเคยบอก ดีต่อสุขภาพจริงแต่ก็มีข้อยกเว้น
กำลังเป็นประเด็นร้อนในโซเชียลมีเดีย เมื่อผู้หญิงหลายคนออกมาแบ่งปันเรื่องราวฝันร้ายของอาการผมร่วงกะทันหัน โดยอ้างว่าเริ่มเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเธอเริ่มดื่ม "มัทฉะ" เครื่องดื่มยอดนิยมเป็นประจำ
คำถามคือ "น้ำสีเขียวของชาว Gen Z" ที่ได้รับการยกย่องถึงคุณประโยชน์ต่อสุขภาพนี้ กำลังทำลายเส้นผมของเราอย่างเงียบๆ จริงหรือ? NY Post ได้สอบถามนักกำหนดอาหาร 2 ท่าน เพื่อค้นหาคำตอบของเรื่องนี้
มัทฉะ คืออะไร
มัทฉะ คือชาเขียวสีสดที่ทำจากใบชาที่ปลูกและดูแลเป็นพิเศษ นำมาบดละเอียดเป็นผง แล้วนำไปชงกับน้ำร้อนจนเกิดฟองนุ่ม เครื่องดื่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน ก่อนที่จะได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในโลกตะวันตก จนถึงขั้นทำให้สินค้าขาดตลาดทั่วโลก
เครื่องดื่มนี้กลายเป็นแฟชั่นโดยเฉพาะในหมู่ผู้มีอิทธิพลด้านสุขภาพ ที่ยกย่องว่าเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพและเหมาะกับการถ่ายรูปลงอินสตาแกรม มากกว่าการดื่มกาแฟ

มัทฉะทำให้ผมร่วงได้จริงหรือ
Stephanie Schiff นักโภชนาการจากโรงพยาบาล Northwell Huntington กล่าวว่า "หากคุณพบว่าผมร่วงหลังจากเพิ่มการดื่มมัทฉะ สาเหตุอาจไม่ใช่ตัวชาโดยตรง แต่อาจเป็นเพราะ แทนนิน' (Tannins) ที่อยู่ในชา"
แทนนินเป็นสารประกอบจากพืชที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ แต่มันสามารถเข้าไปจับกับ "ธาตุเหล็ก" ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นนี้ได้ยากขึ้น ซึ่งร่างกายไม่สามารถผลิตธาตุเหล็กเองได้ และต้องได้รับจากอาหารหรืออาหารเสริมเท่านั้น
"สิ่งนี้อาจนำไปสู่ภาวะขาดธาตุเหล็ก และภาวะขาดธาตุเหล็กก็สามารถนำไปสู่ผมร่วงได้" Schiff อธิบาย
นอกจากนี้ คาเฟอีน ก็อาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัย มัทฉะมีคาเฟอีนสูงกว่าชาเขียวทั่วไป โดยการเสิร์ฟ 1-2 กรัม อาจมีคาเฟอีนสูงถึง 80 มิลลิกรัม Amy Shapiro นักโภชนาการอีกท่านหนึ่งชี้ว่า "การบริโภคคาเฟอีนในปริมาณที่สูงมาก สามารถเพิ่มฮอร์โมนความเครียด ซึ่งในบางคนอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะผมร่วงชั่วคราวได้"
ดื่มมัทฉะแค่ไหนถึงเรียกว่า "มากเกินไป"
"ยังไม่มีการพิสูจน์ระดับที่แน่ชัดว่าเพิ่มความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม การดื่ม 1-2 แก้วต่อวัน ไม่น่าจะทำให้เกิดผมร่วงในคนทั่วไป" Shapiro ผู้ก่อตั้ง Real Nutrition กล่าว
เธอตั้งข้อสังเกตว่า กลุ่มเสี่ยงที่สุดคือผู้ที่มีธาตุเหล็กต่ำหรือมีภาวะโลหิตจางอยู่แล้ว รวมถึงผู้หญิงที่มีประจำเดือนมามาก ผู้ที่มีภาวะทางเดินอาหารบางอย่าง หรือกลุ่มวีแกนที่รับธาตุเหล็กน้อย
Shapiro เสริมว่า ผู้ที่ดื่มมัทฉะในปริมาณมากทุกวัน หรือรับประทานอาหารเสริม "สารสกัดชาเขียว" เข้มข้น ก็มีแนวโน้มที่จะผมร่วงได้ง่ายกว่า "หากใครกังวลเรื่องผมร่วง ควรไปตรวจวัดระดับธาตุเหล็กในร่างกาย ดีกว่าการคาดเดาไปเอง"
เคล็ดลับดื่มมัทฉะอย่างไรให้ปลอดภัยต่อเส้นผม
Schiff แนะนำว่า "หากคุณคิดว่าระดับธาตุเหล็กอาจจะต่ำ ไม่ควรดื่มมัทฉะก่อน ระหว่าง หรือหลังรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งธาตุเหล็กจากพืช (เช่น ผักโขม ถั่วขาว หรือเต้าหู้) แต่ถ้าคุณได้รับธาตุเหล็กจากเนื้อสัตว์ ก็ไม่น่ามีปัญหา"
Shapiro แนะนำให้จับคู่อาหารที่มีธาตุเหล็กจากพืชร่วมกับอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผลไม้ตระกูลส้ม พริกหยวก สตรอว์เบอร์รี หรือกะหล่ำดาว "วิตามินซีช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก (non-heme iron) ได้อย่างชัดเจน และสามารถชดเชยผลกระทบจากแทนนินได้"
นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงสารสกัดชาเขียวหรืออาหารเสริมในปริมาณสูง หากแพทย์ไม่ได้สั่ง และควรตรวจสอบสาเหตุอื่นของผมร่วงด้วย เช่น ปัญหาไทรอยด์ ความเครียด หรือยาที่ใช้ เพราะมัทฉะเป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยที่เป็นไปได้เท่านั้น

ความเสี่ยงอื่นๆ ของการดื่มมัทฉะ
"บางคนพบว่ามัทฉะทำให้ปั่นป่วนท้อง คลื่นไส้ หรืออาหารไม่ย่อย ซึ่งน่าจะเกิดจากแทนนิน" Schiff กล่าว
Shapiro เสริมว่า หากบริโภคมากเกินไป คาเฟอีนในมัทฉะอาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ใจสั่น วิตกกังวล หรือความดันโลหิตสูงในผู้ที่อ่อนไหวได้
ในกรณีที่พบน้อยมาก การดื่มชาเขียวหนักๆ อาจทำให้เอนไซม์ตับสูงขึ้นและเกิดภาวะตับบาดเจ็บ ซึ่งมักเกิดจากสารต้านอนุมูลอิสระ EGCG ที่เข้มข้นสูง โดยความเสี่ยงจะสูงที่สุดในกลุ่มที่ทานอาหารเสริมสารสกัดชาเขียวเข้มข้น โดยเฉพาะเมื่อทานตอนท้องว่าง
ประโยชน์ต่อสุขภาพของมัทฉะ
Shapiro กล่าวว่า "มัทฉะเป็นหนึ่งในวิธีบริโภคชาเขียวที่อุดมด้วยสารอาหารมากที่สุด เพราะเราได้รับประทานใบชาทั้งใบ"
เครื่องดื่มนี้มีกรดอะมิโน L-theanine ที่ช่วยส่งเสริมการผ่อนคลายโดยไม่ทำให้ง่วงซึม เมื่อรวมกับคาเฟอีน จะช่วยเพิ่มความตื่นตัวทางจิตใจ โดยไม่มีอาการกระสับกระส่ายเหมือนที่อาจเกิดจากกาแฟ
Schiff ตั้งข้อสังเกตว่า EGCG (สารต้านอนุมูลอิสระ) ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสามารถทำลายเซลล์และกระตุ้นการอักเสบได้ สิ่งนี้จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังบางชนิด เช่น โรคหัวใจ "มัทฉะซึ่งเข้มข้นกว่าชาเขียวทั่วไป สามารถให้ EGCG ได้มากกว่าถึง 3 เท่าหรือมากกว่านั้น"
การดื่มมัทฉะยังเชื่อมโยงกับการตอบสนองต่ออินซูลินที่ดีขึ้น ซึ่งช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ "นั่นเป็นข่าวดีสำหรับผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวานหรือเป็นเบาหวาน" Shapiro กล่าว "การศึกษาบางชิ้นยังแสดงให้เห็นว่าการดื่มมัทฉะสามารถช่วยในการลดน้ำหนัก โดยการลดความอยากอาหารและเพิ่มการเผาผลาญได้อีกด้วย"