4 อาหารต้องห้าม อดีตถูกแบนเพราะความเชื่อ ปีศาจ-ความตาย โลกเกือบพลาดของดี
4 อาหารต้องห้ามในอดีต ถูกแบนเพราะความเชื่อเรื่องปีศาจ โชคลาง และความตาย
แม้อาหารหลายชนิดในปัจจุบันจะกลายเป็นเมนูยอดนิยมทั่วโลก แต่ในอดีตกลับเคยถูกมองว่าเป็นของต้องห้าม ถูกเชื่อมโยงกับพลังลี้ลับ ไสยศาสตร์ หรือแม้แต่ “ปีศาจ” ความเชื่อเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากพิษภัยของอาหารจริง ๆ แต่เป็นผลจากความไม่เข้าใจ วิทยาการด้านอาหารที่ยังไม่พัฒนา และความหวาดกลัวทางศาสนาและสังคม ทำให้ของอร่อยหลายอย่างเคยถูกแบนหรือถูกมองในแง่ร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ
1. มะเขือเทศ: ผลไม้แห่งปีศาจ “Poison Apple”
ในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 16–17 มะเขือเทศ ถูกเรียกว่า “ผลไม้แห่งปีศาจ” หรือ Poison Apple เพราะเชื่อว่าก่อให้เกิดพิษร้ายแรงและเกี่ยวข้องกับการปรุงยาของแม่มด หนึ่งในเหตุผลคือภาชนะในยุโรปตอนนั้นทำจากตะกั่ว และกรดจากมะเขือเทศเข้าไปกัดกร่อน จนเกิดอาการป่วยที่คนเข้าใจผิดว่ามะเขือเทศเป็นพิษ นอกจากนี้รูปลักษณ์ของมันคล้ายกับ belladonna หรือ nightshade ซึ่งเป็นพืชพิษอันตราย ทำให้นักพฤกษศาสตร์ในยุคนั้นตั้งข้อสงสัยและระวังเป็นอย่างมาก
ประโยชน์ของมะเขือเทศ
- อุดมด้วยไลโคปีน (Lycopene) ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
- มีวิตามิน C และ A เสริมภูมิคุ้มกัน
- ช่วยต้านอนุมูลอิสระและชะลอความเสื่อมของเซลล์

2. ผักชีฝรั่ง: พืชแห่งความตายที่เชื่อมโยงกับเทพนรก
ผักชีฝรั่ง (Parsley) เคยถูกมองว่าเป็น “พืชแห่งความตาย” ในยุคกรีกโบราณ เพราะเชื่อมโยงกับเทพเพอร์เซโฟนี เจ้าแห่งโลกใต้พิภพ การปลูกหรือมอบผักชีฝรั่งให้กันถูกมองว่าจะนำโชคร้าย แม้จะใช้ในพิธีกรรมศพก็ตาม จึงเป็นสมุนไพรที่หลายคนหวาดกลัวและหลีกเลี่ยง แม้ความเชื่อเหล่านี้จะฟังดูลี้ลับ แต่สะท้อนวิถีคิดของมนุษย์โบราณที่มักเชื่อมโยงพืช พิธีกรรม และเทพเจ้าเข้าด้วยกันตามบริบทวัฒนธรรมในยุคนั้น
ประโยชน์ของผักชีฝรั่ง
- ช่วยลดการอักเสบและมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ
- อุดมด้วยวิตามิน K บำรุงกระดูกและการแข็งตัวของเลือด
- ช่วยขับน้ำและลดอาการบวมน้ำ

3. กระเทียม: เครื่องรางไสยศาสตร์พื้นบ้าน
กระเทียม ถูกใช้เพื่อปัดเป่าวิญญาณร้ายในความเชื่อพื้นบ้านของฝั่งยุโรป ในหลายเรื่องเล่า ผู้คนจะแขวนกระเทียมไว้ที่หน้าต่าง ประตู หรือแม้กระทั่งพกติดตัว เพื่อป้องกันตนเองและที่อยู่อาศัยจากพลังงานด้านลบ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องในชีวิตประจำวันของคนยุคเก่า ขณะเดียวกัน กลิ่นแรงของกระเทียมทำให้ชนชั้นสูงไม่นิยมกิน โดยมองว่าไม่เหมาะกับผู้ดีในสังคม
ทางด้าน คัมภีร์ภควัทคีตา ทางฝั่งพราหมณ์ฮินดู เชื่อว่า อาหารรสจัด เผ็ด ฉุน แห้ง และแผดเผา ถูกมองว่าเป็นอาหารของผู้ที่อยู่ในภาวะฟุ้งพล่าน นำมาซึ่งความทุกข์และโรคภัย ซึ่งหอมหัวใหญ่และกระเทียมก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้ เพราะกระตุ้นสัญชาตญาณหยาบและทำให้ควบคุมประสาทสัมผัสได้ยากขึ้น ตามตำนานอายุรเวท เล่าว่าหอมหัวใหญ่และกระเทียมเกิดจากหยดน้ำอมฤตที่ปนออกมาจากปากอสูรราหูและเกตุ จึงแม้มีสรรพคุณรักษาโรค แต่ถือว่าเป็นของที่ปนเปื้อนจากอสูร ไม่เหมาะจะถวายแด่พระวิษณุหรือผู้ภักติไวษณพ และเชื่อว่าผู้ที่กินจะมีกายแข็งแรงแบบอสูร แต่ปัญญาขุ่นมัวตามไปด้วย
ประโยชน์ของกระเทียม
- มีสารอัลลิซิน (Allicin) ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส
- ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและความดันโลหิต
- ช่วยบำรุงหลอดเลือดและหัวใจ

4. กาแฟ: เครื่องดื่มของซาตานและผู้คิดต่าง
เมื่อ กาแฟ ถูกนำเข้าสู่ยุโรปครั้งแรก มีผู้เคร่งศาสนาหลายกลุ่มมองว่าเป็น “เครื่องดื่มของซาตาน” เพราะทำให้ผู้คนตื่นตัว รู้สึกกระฉับกระเฉง และรวมตัวกันในร้านกาแฟเพื่อถกเถียงทางความคิด ซึ่งผู้มีอำนาจมองว่าเป็นภัยต่อศาสนาและการเมือง จึงมีความพยายามในการสั่งแบนและประณามว่าเป็นเครื่องดื่มนอกรีต
มีการเสนอให้ พระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 8 ตัดสินว่าเครื่องดื่มนี้ควรถูกแบนหรือไม่ พระองค์จึงตัดสินใจลองชิมด้วยพระองค์เอง หลังจากจิบกาแฟและติดใจในความอร่อย พระองค์จึงได้ทรงให้ศีลให้พรกับเมล็ดกาแฟในปี ค.ศ. 1600 อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการทำลายความเชื่อเรื่องปีศาจไปโดยสิ้นเชิง
ประโยชน์ของกาแฟ
- ช่วยกระตุ้นสมอง เพิ่มสมาธิและความตื่นตัว
- อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
- อาจช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคตับบางชนิด
.jpg)
กรณีที่ อาหารเหล่านี้เคยถูกแบนเพราะความเชื่อเรื่องปีศาจ สะท้อนให้เห็นว่าสังคมในอดีตตีความอาหารผ่านศาสนา ความเชื่อ และชนชั้นมากกว่าวิทยาศาสตร์ หากไม่มีการค้นคว้าทางโภชนาการ หรือเปลี่ยนแปลงความเชื่อเดิม โลกอาจพลาดอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและวัฒนธรรมอย่างมหาศาล